โรคต้อกระจก สาเหตุ อาการ การรักษา และวิธีป้องกัน

  •  20 ก.พ. 68

โรคต้อกระจก: สาเหตุ อาการ การรักษา และวิธีป้องกัน 

เช็คอาการ และสาเหตุของโรคต้อกระจก พร้อมวิธีรักษา ทั้งการผ่าตัด และเลเซอร์ รวมถึงคำแนะนำ ในการดูแลสุขภาพดวงตา เพื่อป้องกันโรค

โรคต้อกระจกคืออะไร?

โรคต้อกระจก (Cataract) เป็นโรคเกี่ยวกับดวงตาที่เกิดจากความขุ่นมัวของเลนส์ตา ทำให้การมองเห็นของผู้ป่วยลดลงหรือเกิดความพร่ามัว โรคนี้พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ แต่สามารถเกิดขึ้นได้ในคนทุกช่วงวัย โรคต้อกระจกถือเป็นปัญหาสำคัญที่อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม 

สาเหตุของโรคต้อกระจก

สาเหตุของต้อกระจกมีหลายประการ ได้แก่: 

  • อายุที่เพิ่มขึ้น: อายุที่มากขึ้นเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เลนส์ตาเสื่อมสภาพ โดยทั่วไปแล้วผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีมีโอกาสเป็นต้อกระจกมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีอาจเริ่มพบในช่วงอายุ 40-50 ปี 
  • โรคประจำตัว: เช่น โรคเบาหวาน ซึ่งสามารถทำให้เลนส์ตาเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ น้ำตาลในเลือดที่สูงอย่างต่อเนื่องจะกระทบต่อระบบหมุนเวียนโลหิตและสุขภาพดวงตา 
  • ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม: การสัมผัสแสง UV จากดวงอาทิตย์เป็นเวลานานโดยไม่มีการป้องกันที่เหมาะสม เช่น การไม่ใส่แว่นกันแดด หรือการทำงานกลางแจ้งโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกันดวงตา 
  • การบาดเจ็บที่ดวงตา: อุบัติเหตุที่กระทบดวงตาโดยตรงอาจทำให้เลนส์ตาขุ่นมัวและนำไปสู่ต้อกระจกได้ 
  • การใช้ยาสเตียรอยด์ในระยะยาว: ยาประเภทนี้สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจก โดยเฉพาะในผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์เพื่อรักษาโรคเรื้อรัง 
  • การสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์: การสูบบุหรี่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระที่ทำลายเลนส์ตา และการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเป็นเวลานานมีส่วนกระทบต่อสุขภาพตา 
  • โภชนาการที่ไม่เหมาะสม: การขาดวิตามินที่สำคัญ เช่น วิตามินเอ ซี และอี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการบำรุงสายตา อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจก

 

 

อาการโรคต้อกระจก

โรคต้อกระจกมักมีอาการเริ่มต้นที่ไม่รุนแรง แต่จะค่อย ๆ แย่ลงเมื่อเวลาผ่านไป อาการที่พบบ่อยได้แก่

  • การมองเห็นพร่ามัว: เหมือนมีหมอกบังตาหรือมองผ่านฟิล์มบาง ๆ 
  • ความไวต่อแสง: การมองเห็นในที่แสงน้อยหรือแสงจ้าทำได้ยาก ผู้ป่วยอาจรู้สึกแสบตาเมื่อเจอแสงจ้า 
  • การมองเห็นสีผิดเพี้ยน: สีอาจดูซีดลงหรือมองเห็นสีในโทนเหลือง 
  • แสงสะท้อนหรือแสงจ้าในตอนกลางคืน: อาจพบแสงสะท้อนที่รบกวนการมองเห็นโดยเฉพาะในขณะขับรถกลางคืน 
  • การมองเห็นภาพซ้อน: มักพบในตาเพียงข้างเดียว และอาจเกิดขึ้นเฉพาะในบางช่วงเวลา 
  • การเปลี่ยนแปลงสายตา: ต้องเปลี่ยนแว่นบ่อยครั้ง เนื่องจากสายตาเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด 
  • อาการเจ็บตา: ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกเจ็บตาหรือไม่สบายตา ซึ่งเกิดขึ้นร่วมกับอาการอื่น ๆ 

*สำหรับต้อกระจกระยะสุดท้าย อาการจะรุนแรงขึ้นจนผู้ป่วยอาจมองเห็นเพียงแสงหรือเงาเท่านั้น ผู้ป่วยบางรายอาจสังเกตเห็นจุดขาวตรงกลางเลนส์ตา หากพบอาการเหล่านี้ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์ทันทีเพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างเหมาะสม 

การวินิจฉัยโรคต้อกระจก 

การวินิจฉัยต้อกระจกดำเนินการโดยจักษุแพทย์ ผ่านการตรวจดวงตา ดังนี้: 

  • การตรวจวัดสายตา: เพื่อประเมินระดับการมองเห็น 
  • การตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์: เพื่อตรวจสอบลักษณะและตำแหน่งของต้อกระจก 
  • การตรวจวัดความดันลูกตา: เพื่อแยกโรคต้อหินออกจากต้อกระจก

 

การรักษาต้อกระจกในปัจจุบัน 

ปัจจุบัน การรักษาต้อกระจกมีความก้าวหน้าและหลากหลายวิธี ดังนี้: 

  • ระยะเริ่มต้น: หากยังไม่รุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้ใช้แว่นตาเพื่อช่วยในการมองเห็น พร้อมกับปรับพฤติกรรม เช่น การใส่แว่นกันแดด 
  • ระยะรุนแรง: จำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อนำเลนส์ตาที่ขุ่นมัวออกและใส่เลนส์เทียมเข้าไปแทนที่ 
  • การผ่าตัดต้อกระจก: เป็นวิธีรักษาหลัก โดยแพทย์จะนำเลนส์ที่ขุ่นมัวออกและใส่เลนส์เทียมแทน 
  • การผ่าตัดแบบสลายต้อ: ใช้เครื่องมือสลายเลนส์ตาให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วดูดออก 
  • การผ่าตัดแบบแผลเล็ก: ผ่าตัดผ่านแผลขนาดเล็กประมาณ 2-3 มิลลิเมตร แล้วใส่เลนส์เทียมแบบพับได้เข้าไป 
  • เลเซอร์ต้อกระจก: เป็นอีกวิธีที่มีความแม่นยำและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน โดยใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ในการปรับเลนส์ตา 
  • ชนิดของเลนส์เทียม: 
  • เลนส์เทียมชนิด Monofocal: มองเห็นได้ชัดในระยะเดียว คือระยะไกลหรือระยะใกล้ 
  • เลนส์เทียมชนิด Multifocal: มองเห็นได้ชัดในหลายระยะ 
  • เลนส์เทียมชนิด Toric: แก้ไขสายตาเอียง

ค่ารักษาโรคต้อกระจก

ค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาต้อกระจกจะแตกต่างกันไป 

  • การผ่าตัดต้อกระจก: ประมาณ 20,000-50,000 บาท 
  • การเลเซอร์ต้อกระจก: ประมาณ 30,000-80,000 บาท

 

 

วิธีป้องกันโรคต้อกระจก 

แม้ต้อกระจกจะเป็นโรคที่พบได้บ่อย แต่สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการดูแลสุขภาพตา เช่น: 

  • การป้องกันจากแสง UV: ใส่แว่นกันแดดคุณภาพดีเมื่อออกกลางแจ้ง และหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรงในช่วงเวลา 10.00-15.00 น. 
  • อาหารบำรุงสายตา: เช่น ผักผลไม้ที่มีวิตามินเอ ซี และอี เช่น แครอท ส้ม และผักโขม 
  • การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ: โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี เพื่อให้สามารถตรวจพบปัญหาได้ตั้งแต่ระยะแรก 
  • การดูแลสุขภาพโดยรวม: หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และควบคุมน้ำตาลในเลือดในกรณีที่มีโรคเบาหวาน 
  • พักผ่อนสายตา: หลีกเลี่ยงการใช้สายตาในระยะใกล้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน เช่น การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือการอ่านหนังสือโดยไม่มีแสงที่เพียงพอ 
  • ลดการใช้ยาที่มีความเสี่ยง: เช่น ยาสเตียรอยด์ ควรใช้เฉพาะเมื่อจำเป็นและภายใต้คำแนะนำของแพทย์

สรุปและคำแนะนำ 

โรคต้อกระจกและโรคต้อหินมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโรคเดียวกัน แต่จริง ๆ แล้วมีความแตกต่างกันชัดเจน ต้อกระจกเกิดจากความขุ่นมัวของเลนส์ตา ขณะที่ต้อหินเกิดจากความดันในลูกตาที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อเส้นประสาทตา โรคต้อกระจกเป็นโรคที่สามารถรักษาได้หากตรวจพบในระยะเริ่มต้น การดูแลสุขภาพตาอย่างเหมาะสมและการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันปัญหาสายตาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต หากคุณหรือคนในครอบครัวมีอาการที่น่าสงสัยเกี่ยวกับโรคต้อกระจก อย่ารอช้าที่จะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ


สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านศรีนครินทร์ และพื้นที่ใกล้เคียง "คลินิกพรีเมียม รามาธิบดี เฮลธ์ สเปซ @พาราไดซ์ พาร์ค" (Ramathibodi Health Space) ที่ตั้งอยู่ภายในศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค ชั้น 3 เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สะดวกสบาย ในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายแพทย์ ได้ที่ รามาธิบดี เฮลธ์ สเปซ ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค เปิดให้บริการทุกวัน 8.00-20.00 น. 

โทร. 0-2201-0640-45 

Line Official Account : @ramaparadise

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ คลินิกพรีเมียม รามาธิบดี เฮลธ์ สเปซ @พาราไดซ์ พาร์ค คลิกที่นี่

คลีนิกพรีเมี่ยมรามาธิบดี เฮลธ์ สเปซ

รามาธิบดี เฮลธ์ สเปซ (ด้านหน้า)

หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลความรู้ ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ หากมีข้อสงสัย หรือต้องการคำแนะนำในการรักษา ควรปรึกษาแพทย์