โรคต้อกระจก: สาเหตุ อาการ การรักษา และวิธีป้องกัน
เช็คอาการ และสาเหตุของโรคต้อกระจก พร้อมวิธีรักษา ทั้งการผ่าตัด และเลเซอร์ รวมถึงคำแนะนำ ในการดูแลสุขภาพดวงตา เพื่อป้องกันโรค
โรคต้อกระจกคืออะไร?
โรคต้อกระจก (Cataract) เป็นโรคเกี่ยวกับดวงตาที่เกิดจากความขุ่นมัวของเลนส์ตา ทำให้การมองเห็นของผู้ป่วยลดลงหรือเกิดความพร่ามัว โรคนี้พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ แต่สามารถเกิดขึ้นได้ในคนทุกช่วงวัย โรคต้อกระจกถือเป็นปัญหาสำคัญที่อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
สาเหตุของโรคต้อกระจก
สาเหตุของต้อกระจกมีหลายประการ ได้แก่:
- อายุที่เพิ่มขึ้น: อายุที่มากขึ้นเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เลนส์ตาเสื่อมสภาพ โดยทั่วไปแล้วผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีมีโอกาสเป็นต้อกระจกมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีอาจเริ่มพบในช่วงอายุ 40-50 ปี
- โรคประจำตัว: เช่น โรคเบาหวาน ซึ่งสามารถทำให้เลนส์ตาเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ น้ำตาลในเลือดที่สูงอย่างต่อเนื่องจะกระทบต่อระบบหมุนเวียนโลหิตและสุขภาพดวงตา
- ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม: การสัมผัสแสง UV จากดวงอาทิตย์เป็นเวลานานโดยไม่มีการป้องกันที่เหมาะสม เช่น การไม่ใส่แว่นกันแดด หรือการทำงานกลางแจ้งโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกันดวงตา
- การบาดเจ็บที่ดวงตา: อุบัติเหตุที่กระทบดวงตาโดยตรงอาจทำให้เลนส์ตาขุ่นมัวและนำไปสู่ต้อกระจกได้
- การใช้ยาสเตียรอยด์ในระยะยาว: ยาประเภทนี้สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจก โดยเฉพาะในผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์เพื่อรักษาโรคเรื้อรัง
- การสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์: การสูบบุหรี่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระที่ทำลายเลนส์ตา และการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเป็นเวลานานมีส่วนกระทบต่อสุขภาพตา
- โภชนาการที่ไม่เหมาะสม: การขาดวิตามินที่สำคัญ เช่น วิตามินเอ ซี และอี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการบำรุงสายตา อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจก
อาการโรคต้อกระจก
โรคต้อกระจกมักมีอาการเริ่มต้นที่ไม่รุนแรง แต่จะค่อย ๆ แย่ลงเมื่อเวลาผ่านไป อาการที่พบบ่อยได้แก่
- การมองเห็นพร่ามัว: เหมือนมีหมอกบังตาหรือมองผ่านฟิล์มบาง ๆ
- ความไวต่อแสง: การมองเห็นในที่แสงน้อยหรือแสงจ้าทำได้ยาก ผู้ป่วยอาจรู้สึกแสบตาเมื่อเจอแสงจ้า
- การมองเห็นสีผิดเพี้ยน: สีอาจดูซีดลงหรือมองเห็นสีในโทนเหลือง
- แสงสะท้อนหรือแสงจ้าในตอนกลางคืน: อาจพบแสงสะท้อนที่รบกวนการมองเห็นโดยเฉพาะในขณะขับรถกลางคืน
- การมองเห็นภาพซ้อน: มักพบในตาเพียงข้างเดียว และอาจเกิดขึ้นเฉพาะในบางช่วงเวลา
- การเปลี่ยนแปลงสายตา: ต้องเปลี่ยนแว่นบ่อยครั้ง เนื่องจากสายตาเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด
- อาการเจ็บตา: ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกเจ็บตาหรือไม่สบายตา ซึ่งเกิดขึ้นร่วมกับอาการอื่น ๆ
*สำหรับต้อกระจกระยะสุดท้าย อาการจะรุนแรงขึ้นจนผู้ป่วยอาจมองเห็นเพียงแสงหรือเงาเท่านั้น ผู้ป่วยบางรายอาจสังเกตเห็นจุดขาวตรงกลางเลนส์ตา หากพบอาการเหล่านี้ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์ทันทีเพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างเหมาะสม
การวินิจฉัยโรคต้อกระจก
การวินิจฉัยต้อกระจกดำเนินการโดยจักษุแพทย์ ผ่านการตรวจดวงตา ดังนี้:
- การตรวจวัดสายตา: เพื่อประเมินระดับการมองเห็น
- การตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์: เพื่อตรวจสอบลักษณะและตำแหน่งของต้อกระจก
- การตรวจวัดความดันลูกตา: เพื่อแยกโรคต้อหินออกจากต้อกระจก
การรักษาต้อกระจกในปัจจุบัน
ปัจจุบัน การรักษาต้อกระจกมีความก้าวหน้าและหลากหลายวิธี ดังนี้:
- ระยะเริ่มต้น: หากยังไม่รุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้ใช้แว่นตาเพื่อช่วยในการมองเห็น พร้อมกับปรับพฤติกรรม เช่น การใส่แว่นกันแดด
- ระยะรุนแรง: จำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อนำเลนส์ตาที่ขุ่นมัวออกและใส่เลนส์เทียมเข้าไปแทนที่
- การผ่าตัดต้อกระจก: เป็นวิธีรักษาหลัก โดยแพทย์จะนำเลนส์ที่ขุ่นมัวออกและใส่เลนส์เทียมแทน
- การผ่าตัดแบบสลายต้อ: ใช้เครื่องมือสลายเลนส์ตาให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วดูดออก
- การผ่าตัดแบบแผลเล็ก: ผ่าตัดผ่านแผลขนาดเล็กประมาณ 2-3 มิลลิเมตร แล้วใส่เลนส์เทียมแบบพับได้เข้าไป
- เลเซอร์ต้อกระจก: เป็นอีกวิธีที่มีความแม่นยำและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน โดยใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ในการปรับเลนส์ตา
- ชนิดของเลนส์เทียม:
- เลนส์เทียมชนิด Monofocal: มองเห็นได้ชัดในระยะเดียว คือระยะไกลหรือระยะใกล้
- เลนส์เทียมชนิด Multifocal: มองเห็นได้ชัดในหลายระยะ
- เลนส์เทียมชนิด Toric: แก้ไขสายตาเอียง
ค่ารักษาโรคต้อกระจก
ค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาต้อกระจกจะแตกต่างกันไป
- การผ่าตัดต้อกระจก: ประมาณ 20,000-50,000 บาท
- การเลเซอร์ต้อกระจก: ประมาณ 30,000-80,000 บาท
วิธีป้องกันโรคต้อกระจก
แม้ต้อกระจกจะเป็นโรคที่พบได้บ่อย แต่สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการดูแลสุขภาพตา เช่น:
- การป้องกันจากแสง UV: ใส่แว่นกันแดดคุณภาพดีเมื่อออกกลางแจ้ง และหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรงในช่วงเวลา 10.00-15.00 น.
- อาหารบำรุงสายตา: เช่น ผักผลไม้ที่มีวิตามินเอ ซี และอี เช่น แครอท ส้ม และผักโขม
- การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ: โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี เพื่อให้สามารถตรวจพบปัญหาได้ตั้งแต่ระยะแรก
- การดูแลสุขภาพโดยรวม: หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และควบคุมน้ำตาลในเลือดในกรณีที่มีโรคเบาหวาน
- พักผ่อนสายตา: หลีกเลี่ยงการใช้สายตาในระยะใกล้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน เช่น การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือการอ่านหนังสือโดยไม่มีแสงที่เพียงพอ
- ลดการใช้ยาที่มีความเสี่ยง: เช่น ยาสเตียรอยด์ ควรใช้เฉพาะเมื่อจำเป็นและภายใต้คำแนะนำของแพทย์
สรุปและคำแนะนำ
โรคต้อกระจกและโรคต้อหินมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโรคเดียวกัน แต่จริง ๆ แล้วมีความแตกต่างกันชัดเจน ต้อกระจกเกิดจากความขุ่นมัวของเลนส์ตา ขณะที่ต้อหินเกิดจากความดันในลูกตาที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อเส้นประสาทตา โรคต้อกระจกเป็นโรคที่สามารถรักษาได้หากตรวจพบในระยะเริ่มต้น การดูแลสุขภาพตาอย่างเหมาะสมและการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันปัญหาสายตาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต หากคุณหรือคนในครอบครัวมีอาการที่น่าสงสัยเกี่ยวกับโรคต้อกระจก อย่ารอช้าที่จะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านศรีนครินทร์ และพื้นที่ใกล้เคียง "คลินิกพรีเมียม รามาธิบดี เฮลธ์ สเปซ @พาราไดซ์ พาร์ค" (Ramathibodi Health Space) ที่ตั้งอยู่ภายในศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค ชั้น 3 เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สะดวกสบาย ในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายแพทย์ ได้ที่ รามาธิบดี เฮลธ์ สเปซ ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค เปิดให้บริการทุกวัน 8.00-20.00 น.
โทร. 0-2201-0640-45
Line Official Account : @ramaparadise
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ คลินิกพรีเมียม รามาธิบดี เฮลธ์ สเปซ @พาราไดซ์ พาร์ค คลิกที่นี่
หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลความรู้ ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ หากมีข้อสงสัย หรือต้องการคำแนะนำในการรักษา ควรปรึกษาแพทย์