โรคตาแดงในเด็ก เรื่องใกล้ตัวที่ผู้ปกครองควรรู้!
โรคตาแดง หรือ ภาวะเยื่อบุตาอักเสบ พบบ่อยในเด็กๆ โดยเฉพาะในช่วงเปิดเทอม ซึ่งโรคนี้สามารถติดต่อกันได้ง่าย ทำให้คุณพ่อคุณแม่กังวลใจ บทความนี้จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจเกี่ยวกับโรคตาแดงในเด็ก ตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีการดูแลรักษา และการป้องกัน เพื่อให้ลูกน้อยกลับมามีดวงตาที่สดใสได้อีกครั้ง
อาการของโรคตาแดงในเด็ก
อาการของโรคตาแดงในเด็กอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสาเหตุ แต่โดยทั่วไปจะมีอาการดังนี้
- ตาแดง: เป็นอาการหลักที่สังเกตได้ชัดเจน
- คันตา: เด็กอาจขยี้ตาบ่อยๆ
- น้ำตาไหล: มีน้ำตาไหลออกมามากกว่าปกติ
- มีขี้ตา: อาจมีขี้ตาใส สีขาว เหลือง หรือเขียว
- เปลือกตาบวม: เปลือกตาอาจบวมแดง
- เจ็บตา: เด็กอาจแสดงอาการเจ็บปวดเมื่อขยับตาหรือกระพริบตา
- ตาไวต่อแสง: เด็กอาจรู้สึกไม่สบายตาเมื่ออยู่ในที่ที่มีแสงจ้า
- อาการอื่นๆ: อาจมีอาการร่วมอื่นๆ เช่น น้ำมูกไหล ไอ หรือเจ็บคอ
สาเหตุหลักของโรคตาแดงในเด็ก
อาการตาแดงในเด็กสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งแต่ละสาเหตุอาจมีอาการและความรุนแรงแตกต่างกันไป ต่อไปนี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เด็กตาแดง
- การติดเชื้อ:
- ไวรัส: เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของโรคตาแดงในเด็ก มักมาพร้อมกับอาการอื่น ๆ เช่น น้ำมูกไหล ไอ หรือเจ็บคอ
- แบคทีเรีย: มักทำให้มีขี้ตาเป็นสีเหลืองหรือเขียว และอาจทำให้เปลือกตาบวม
- การติดเชื้อคลาไมเดีย: พบในเด็กแรกเกิดที่ติดเชื้อจากมารดาขณะคลอด
- การแพ้:
- เด็กที่มีโรคภูมิแพ้ เช่น แพ้เกสรดอกไม้ ฝุ่น หรือขนสัตว์ อาจมีอาการตาแดง คันตา และน้ำตาไหล
- การระคายเคือง:
- สิ่งแปลกปลอมเข้าตา เช่น ฝุ่นละออง หรือทราย
- การขยี้ตาบ่อย ๆ
- การสัมผัสกับสารเคมี เช่น คลอรีนในสระว่ายน้ำ
- ท่อน้ำตาอุดตัน:
- พบในเด็กเล็ก ทำให้มีน้ำตาไหลและมีขี้ตา
- โรคอื่น ๆ:
- โรคตาบางชนิด เช่น ต้อหิน หรือ uveitis (การอักเสบของม่านตา
ลักษณะอาการตามสาเหตุ
- โรคตาแดงจากเชื้อไวรัส:
- มักมีอาการตาแดงทั้งสองข้าง
- มีน้ำตาไหลและขี้ตาใส
- อาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ไข้ เจ็บคอ หรือน้ำมูกไหล
- โรคตาแดงจากเชื้อแบคทีเรีย:
- มักมีขี้ตาเป็นสีเหลืองหรือเขียว
- เปลือกตาอาจบวมแดง
- อาจมีอาการเจ็บตา
- โรคตาแดงจากภูมิแพ้:
- มักมีอาการคันตาและน้ำตาไหล
- อาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น คัดจมูก หรือมีผื่นขึ้น
การดูแลรักษาโรคตาแดงในเด็ก
การรักษาโรคตาแดงในเด็กขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค โดยทั่วไปแล้ว การรักษาจะมุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอาการและรักษาต้นเหตุของโรค ดังนี้
- โรคตาแดงจากเชื้อไวรัส:
- โดยทั่วไปแล้ว โรคตาแดงจากเชื้อไวรัสจะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์
- การรักษาจะเน้นไปที่การบรรเทาอาการ เช่น การใช้น้ำตาเทียมเพื่อลดอาการระคายเคือง และการประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม
- หากมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ไข้ หรือเจ็บคอ ควรให้เด็กพักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำมากๆ
- โรคตาแดงจากเชื้อแบคทีเรีย:
- แพทย์จะสั่งยาปฏิชีวนะหยอดตาหรือป้ายตา เพื่อรักษาการติดเชื้อ
- ควรหยอดยาหรือป้ายยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
- ควรล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังการหยอดตาหรือป้ายตา
- โรคตาแดงจากภูมิแพ้:
- แพทย์อาจสั่งยาแก้แพ้หยอดตา หรือยากิน เพื่อบรรเทาอาการ
- ควรหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่นละออง หรือขนสัตว์
- การประคบเย็นอาจช่วยลดอาการคันและบวมได้
- โรคตาแดงจากการระคายเคือง:
- ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาด หรือน้ำเกลือ
- หากมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อนำสิ่งแปลกปลอมออก
- ควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตา
- ท่อน้ำตาอุดตัน:
- ในเด็กเล็ก ท่อน้ำตาอุดตันมักหายได้เองเมื่อเด็กโตขึ้น
- แพทย์อาจแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่นวดบริเวณท่อน้ำตา เพื่อช่วยเปิดท่อ
- หากท่อน้ำตาอุดตันไม่หาย หรือมีการติดเชื้อ ควรปรึกษาแพทย์
การป้องกันโรคตาแดงในเด็ก
- ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำ และ สบู่
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสดวงตา โดยไม่จำเป็น
- ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
- หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของโรค
- รักษาสุขอนามัย ดูแลความสะอาดร่างกาย และ สิ่งแวดล้อม
เทคนิคการดูแลและถนอมสายตาในเด็ก
- จำกัดเวลาหน้าจอ ควบคุมเวลาการดูโทรทัศน์ เล่นโทรศัพท์มือถือ หรือ แท็บเล็ต ไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน
- พักสายตา ทุกๆ 20 นาที ให้มองออกไปไกลๆ ระยะ 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที
- กะพริบตาบ่อยๆ เพื่อป้องกันตาแห้ง
- ปรับแสงสว่าง ให้เหมาะสม ไม่สว่าง หรือ มืดเกินไป
- อ่านหนังสือในระยะที่เหมาะสม ประมาณ 30-40 เซนติเมตร
- ตรวจสุขภาพตา เป็นประจำ ทุกปี
อาหารบำรุงสายตา
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีส่วนสำคัญในการบำรุงสายตา และ ป้องกันโรคตา อาหารที่แนะนำ ได้แก่
- อาหารที่มีวิตามินเอสูง:
- วิตามินเอช่วยในการมองเห็นในที่มืด และรักษาสุขภาพของกระจกตา
- แหล่งอาหาร: แครอท, ฟักทอง, มันเทศ, ผักโขม, ตำลึง, ตับ, ไข่แดง, นม
- วิตามินเอช่วยในการมองเห็นในที่มืด และรักษาสุขภาพของกระจกตา
- อาหารที่มีลูทีนและซีแซนทีน:
- สารเหล่านี้ช่วยปกป้องจอประสาทตาจากแสงสีฟ้า และลดความเสี่ยงของจอประสาทตาเสื่อม
- แหล่งอาหาร: ผักใบเขียวเข้ม (เช่น ผักโขม, คะน้า), ข้าวโพด, ไข่แดง
- สารเหล่านี้ช่วยปกป้องจอประสาทตาจากแสงสีฟ้า และลดความเสี่ยงของจอประสาทตาเสื่อม
- อาหารที่มีวิตามินซี:
- วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องดวงตาจากความเสียหาย
- แหล่งอาหาร: ผลไม้ตระกูลส้ม, สตรอว์เบอร์รี, กีวี, พริกหยวก
- วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องดวงตาจากความเสียหาย
- อาหารที่มีวิตามินอี:
- วิตามินอีช่วยปกป้องเซลล์ในดวงตาจากความเสียหาย
- แหล่งอาหาร: ถั่ว, เมล็ดพืช, ผักใบเขียว
- วิตามินอีช่วยปกป้องเซลล์ในดวงตาจากความเสียหาย
- อาหารที่มีโอเมก้า 3:
- โอเมก้า 3 ช่วยลดความเสี่ยงของโรคตาแห้ง และจอประสาทตาเสื่อม
- แหล่งอาหาร: ปลาแซลมอน, ปลาทูน่า, เมล็ดแฟลกซ์
- โอเมก้า 3 ช่วยลดความเสี่ยงของโรคตาแห้ง และจอประสาทตาเสื่อม
เคล็ดลับเพิ่มเติม:
- ส่งเสริมให้เด็กรับประทานผักและผลไม้หลากสี เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่หลากหลาย
- จำกัดอาหารแปรรูป และอาหารที่มีน้ำตาลสูง
- ให้เด็กดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ
- จัดสรรอาหารให้ครบ 5 หมู่
รายละเอียดเพิ่มเติมตรวจสุขภาพสำหรับเด็กได้ที่ คลิกที่นี่
สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านศรีนครินทร์ และพื้นที่ใกล้เคียง "คลินิกพรีเมียม รามาธิบดี เฮลธ์ สเปซ @พาราไดซ์ พาร์ค" (Ramathibodi Health Space) ที่ตั้งอยู่ภายในศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค ชั้น 3 เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สะดวกสบาย ในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายแพทย์ ได้ที่ รามาธิบดี เฮลธ์ สเปซ ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค เปิดให้บริการทุกวัน 8.00-20.00 น.
โทร. 0-2201-0640-45
Line Official Account : @ramaparadise
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ คลินิกพรีเมียม รามาธิบดี เฮลธ์ สเปซ @พาราไดซ์ พาร์ค คลิกที่นี่
หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลความรู้ ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ หากมีข้อสงสัย หรือต้องการคำแนะนำในการรักษา ควรปรึกษาแพทย์