โรคหัด! ภัยร้ายใกล้ตัวคุณ

  •  25 ก.พ. 68

โรคหัด! ภัยร้ายใกล้ตัวคุณ

 

โรคหัด! ภัยร้ายใกล้ตัวคุณ

“โรคหัด” เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งแพร่กระจายได้ง่ายมากผ่านทางการไอ จาม หรือการสัมผัสกับน้ำมูก หรือน้ำลายของผู้ป่วย และสามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก อาการเด่นของโรคหัดคือมีผื่นแดงขึ้นตามตัว แต่ก่อนที่จะมีผื่น ผู้ป่วยมักจะมีไข้สูง ไอ น้ำมูกไหล และตาแดง 

สาเหตุและการแพร่กระจายของโรคหัด 

โรคหัดเกิดจากการติดเชื้อไวรัส Measles ซึ่งเป็นไวรัสในกลุ่ม Paramyxovirus เชื้อไวรัสชนิดนี้จะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางระบบทางเดินหายใจ และแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย ทำให้เกิดอาการต่างๆ ตามมา เชื้อไวรัสสามารถอยู่ในอากาศได้นานถึง 2 ชั่วโมง ทำให้ผู้ที่อยู่ในบริเวณเดียวกันมีโอกาสติดเชื้อได้สูง 

สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้ 

  • ระยะเริ่มแรก: ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น ไข้สูง ไอ น้ำมูกไหล ตาแดง และอาจมีจุดสีขาวเล็กๆ ในช่องปากเรียกว่า จุดคอปลิก 
  • ระยะผื่น: หลังจากมีอาการไข้ประมาณ 3-4 วัน จะเริ่มมีผื่นแดงขึ้นตามตัวโดยเริ่มจากใบหน้าก่อน แล้วค่อย ๆ ลามลงมาที่ลำตัว แขน และขา ผื่นเหล่านี้จะค่อยๆ จางหายไปเองภายใน 7-10 วัน 
  • ระยะฟื้นตัว: หลังจากผื่นจางหายไป ผู้ป่วยจะเริ่มรู้สึกดีขึ้น แต่ยังคงมีอาการอ่อนเพลียและเหนื่อยล้าได้อีกสักระยะหนึ่ง 

 

วิธีสังเกตอาการของลูกน้อย 

นอกจากอาการที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีอาการอื่นๆ ที่บ่งบอกว่าลูกน้อยของคุณอาจกำลังป่วยเป็นโรคหัด เช่น 

  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ: รู้สึกปวดเมื่อยตามตัว 
  • เบื่ออาหาร: ไม่ค่อยอยากอาหาร 
  • โดนแสงแดดจ้าเป็นเวลานาน: รู้สึกแสบตาเมื่อโดนแสงจ้า 
  • มีไข้สูงติดต่อกันหลายวัน: ไข้สูงไม่ลดลงแม้จะทานยาลดไข้ 

 

ทำไมโรคหัดถึงอันตราย? 

โรคหัดไม่ได้เป็นเพียงแค่ไข้หวัดธรรมดา แต่เป็นโรคที่สามารถก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้หลายอย่าง เช่น 

  • ปอดอักเสบ: เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่สุดในผู้ป่วยโรคหัด โดยเชื้อไวรัสจะเข้าไปทำลายเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจ ทำให้เกิดการอักเสบและการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติม 
  • สมองอักเสบ: ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยเชื้อไวรัสจะเข้าไปทำลายเซลล์สมอง ทำให้เกิดการอักเสบและความเสียหายของระบบประสาท 
  • หูชั้นกลางอักเสบ: การอักเสบของหูชั้นกลางอาจนำไปสู่การสูญเสียการได้ยิน 
  • โรคทางระบบประสาทอื่นๆ: เช่น โรคตับอักเสบ โรคไตอักเสบ และโรคหัวใจอักเสบ 

วิธีป้องกันโรคหัด 

โรคหัด เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อไวรัส มักพบในเด็กเล็ก และมีอาการเด่นชัดคือ ไข้สูง ผื่นแดงตามตัว และตาแดง การรักษาโรคหัดเน้นไปที่การดูแลอาการให้บรรเทาลง เพราะปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสโรคหัดโดยเฉพาะ 

การดูแลที่บ้าน 

  • ให้ดื่มน้ำมากๆ: เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ ซึ่งเป็นอันตรายต่อเด็กเล็ก 
  • พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับพักผ่อนจะช่วยให้ร่างกายได้ฟื้นตัว 
  • ทานอาหารอ่อน: อาหารเหลวหรืออาหารที่ย่อยง่าย จะช่วยลดภาระของระบบทางเดินอาหาร 
  • เช็ดตัวลดไข้: หากเด็กมีไข้สูง ให้เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นเพื่อลดไข้ 
  • หลีกเลี่ยงแสงจ้า: เนื่องจากตาจะไวต่อแสง 
  • ให้ยาตามแพทย์สั่ง: เช่น ยาลดไข้ พาราเซตามอล 
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น: เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปยังคนอื่นๆ 
  • พาพบแพทย์: หากอาการรุนแรงขึ้น เช่น ไข้สูงไม่ลด ไอมาก หายใจลำบาก มีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ 

 

การป้องกันที่ดีที่สุด 

  • ฉีดวัคซีน MMR: วัคซีน MMR ป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน ควรพาบุตรหลานไปฉีดวัคซีนตามกำหนด
  • วิตามินเอ แพทย์อาจแนะนำให้เด็กได้รับวิตามินเอเสริม ซึ่งมีส่วนช่วยลดความรุนแรงของโรคและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน 

อาการแบบใดควรไปพบแพทย์

หากลูกน้อยของคุณมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคหัด ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีอาการดังต่อไปนี้ 

  • ไข้สูงไม่ลด 
  • หายใจลำบาก 
  • มีผื่นขึ้นมากผิดปกติ

โปรแกรมแพ็คเกจการฉีดวัคซีนของ คลินิกพรีเมียม รามาธิบดี เฮลธ์ สเปซ

 

โรคหัด! ภัยร้ายใกล้ตัวคุณ

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คลิกที่นี่


สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านศรีนครินทร์ และพื้นที่ใกล้เคียง "คลินิกพรีเมียม รามาธิบดี เฮลธ์ สเปซ @พาราไดซ์ พาร์ค" (Ramathibodi Health Space) ที่ตั้งอยู่ภายในศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค ชั้น 3 เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สะดวกสบาย ในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายแพทย์ ได้ที่ รามาธิบดี เฮลธ์ สเปซ ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค เปิดให้บริการทุกวัน 8.00-20.00 น. 

โทร. 0-2201-0640-45 

Line Official Account : @ramaparadise

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ คลินิกพรีเมียม รามาธิบดี เฮลธ์ สเปซ @พาราไดซ์ พาร์ค คลิกที่นี่

คลีนิกพรีเมี่ยมรามาธิบดี เฮลธ์ สเปซ

รามาธิบดี เฮลธ์ สเปซ (ด้านหน้า)

หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลความรู้ ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ หากมีข้อสงสัย หรือต้องการคำแนะนำในการรักษา ควรปรึกษาแพทย์