"โรคพิษสุนัขบ้า" หากละเลยอาจสายเกินไป
โรคพิษสุนัขบ้า หรือ Rabies คือโรคติดเชื้อไวรัสที่รุนแรงและอันตรายถึงชีวิต สามารถติดต่อจากสัตว์มาสู่คนผ่านการกัด ข่วน หรือเลียบริเวณที่มีแผลเปิด แม้โรคนี้สามารถป้องกันได้ 100% ด้วยวัคซีน แต่หากละเลยหรือรักษาไม่ทันอาจนำไปสู่การเสียชีวิต
โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) สามารถเกิดได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด ซึ่งหมายความว่าสัตว์ที่มีต่อมน้ำนมและเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมสามารถติดเชื้อไวรัสนี้ได้ โดยเฉพาะสัตว์ที่มีพฤติกรรมกัดหรือเลียสัตว์อื่นหรือคน
สัตว์ที่สามารถติดโรคพิษสุนัขบ้าได้บ่อย
- สัตว์เลี้ยง
- สุนัข (พบมากที่สุดในประเทศไทย)
- แมว
- โค กระบือ แพะ แกะ
- ม้า
- สัตว์ป่า
- ค้างคาว (โดยเฉพาะในอเมริกา)
- สุนัขจิ้งจอก
- แรคคูน
- พอสซัม
- สกั๊งค์
- หมาป่า
- ลิง (ในบางกรณี)
สัตว์ที่ปลอดภัยจากเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า (ไม่มีโอกาสติดเชื้อ)
สัตว์ที่ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์เรื่อยคลาน
- นก
- ปลา
- สัตว์เลื้อยคลาน เช่น งู หรือ เต่า
- แมลง
อาการของสัตว์ที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า
สัตว์ที่ติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าจะแสดงอาการแตกต่างกันไปในแต่ละระยะ:
1. ระยะอารมณ์เปลี่ยนแปลง:
- ขี้กลัวหรือขี้ตกใจผิดปกติ
- ซึม ไม่ตอบสนอง หรือดุร้ายกว่าปกติ
- ไม่กินอาหาร กัดสิ่งของหรือสัตว์อื่น
2. ระยะดุร้าย:
- ก้าวร้าว กัดไม่เลือก
- วิ่งเพ่นพ่าน ไม่เกรงกลัวสิ่งใด
- น้ำลายไหลมาก อ้าปากตลอดเวลา
3. ระยะอัมพาต:
- ขาหลังอ่อนแรง เดินไม่ตรง
- เป็นอัมพาตทั่วตัวจนตายในเวลาไม่กี่วัน
อาการของโรคพิษสุนัขบ้าในคนหลังโดนกัด
โรคพิษสุนัขบ้าจะติดต่อสู่คนได้ผ่านน้ำลายจากการ โดนกัด, โดนเลียบริเวณที่มีแผล หรือเข้าตา จมูก ปาก หลังจากได้รับเชื้อ อาการมักไม่แสดงทันที แต่มีระยะฟักตัวโดยเฉลี่ย 1–3 เดือน หรืออาจเพียง 7 วัน แล้วแต่กรณี
ระยะแรก (Prodromal phase)
- มีไข้ต่ำ
- ปวดศีรษะ
- คันหรือชา บริเวณที่ถูกกัด (เป็นอาการเฉพาะตัว)
- อ่อนเพลีย คลื่นไส้ เบื่ออาหาร
*หมายเหตุ : หลังจากอาการระยะแรกจะเริ่มเข้าสู่ ระยะแสดงอาการทางประสาท (Neurological Phase) โดยไวรัสจะโจมตีระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดอาการทางสมอง ซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตเกือบ 100%
ระยะแสดงอาการทางประสาท (Neurological Phase)
มักเริ่มแสดงอาการภายใน 2-10 วันหลังจากเริ่มมีไข้หรือไม่สบาย แบ่งออกได้เป็น 2 แบบหลัก ๆ
-
แบบดุร้าย (Furious Rabies) — พบมากที่สุด
- กระสับกระส่าย วิตกกังวล
- หวาดกลัวน้ำ (Hydrophobia) – เจ็บปวดเวลาเห็นหรือพยายามดื่มน้ำ เพราะกล้ามเนื้อกลืนบีบเกร็ง
- กลัวลม (Aerophobia) – แค่ลมพัดโดนก็อาจรู้สึกเจ็บหรือกลัว
- พฤติกรรมเปลี่ยนไป – ก้าวร้าว โวยวาย หวาดระแวง
- กล้ามเนื้อเกร็ง โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า คอ และคอหอย
- ชัก หรืออัมพาตบางส่วน
- มีน้ำลายไหลมากเพราะกลืนไม่ได้
- เสียชีวิตภายใน 3–7 วันหลังเริ่มแสดงอาการ
-
แบบอัมพาต (Paralytic Rabies) — พบได้น้อยกว่า แต่รุนแรงกว่า
- กล้ามเนื้อเริ่มอ่อนแรงอย่างช้า ๆ จากจุดถูกกัดไปสู่ แขน ขา และ ลำตัว
- เป็นอัมพาตแบบลุกลามลาม (ascending paralysis)
- ไม่มีอาการกระวนกระวายชัดเจนเท่าแบบดุร้าย
- บางรายมีอัมพาตของกล้ามเนื้อหายใจ ทำให้เสียชีวิตจากภาวะหายใจล้มเหลว
เมื่อเข้าสู่ระยะทางประสาทแล้ว ไม่มีวิธีรักษาได้ วิธีเดียวที่ป้องกันได้คือ ฉีดวัคซีนหลังถูกกัด และหากสัตว์ที่กัดสงสัยเป็นโรคพิษสุนัขบ้า ต้องรีบล้างแผลให้สะอาดและพบแพทย์ทันที
วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าสำหรับคน
การฉีดวัคซีนแบ่งเป็น 2 กรณี:
- หลังถูกกัด (Post-exposure prophylaxis):
- ฉีดวัคซีน 4–5 เข็มตามแนวทางแพทย์
- ในบางรายต้องฉีด “ภูมิคุ้มกันต้านพิษ” (Rabies Immunoglobulin) ควบคู่ในวันแรก
- ก่อนถูกกัด (Pre-exposure prophylaxis):
- สำหรับผู้เสี่ยงสูง เช่น สัตวแพทย์ นักผจญภัย
- ฉีดวัคซีนล่วงหน้า 2–3 เข็ม
ปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีรักษาโรคพิษสุนัขบ้าเมื่อแสดงอาการแล้วได้อย่างแน่นอน การฟื้นตัวมีเพียงไม่กี่กรณีทั่วโลก โดยบางรายรอดด้วยวิธี “Milwaukee Protocol” ซึ่งเป็นกระบวนการรักษาทดลองที่ทำให้สมองเข้าสู่สภาวะโคม่าเพื่อหยุดการลุกลามของไวรัส ขณะเดียวกันก็ให้ยาปรับระบบภูมิคุ้มกัน แต่โอกาสสำเร็จมีน้อยมาก
ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการฉีดวัคซีน “ก่อนแสดงอาการ” เท่านั้น
สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านศรีนครินทร์ และพื้นที่ใกล้เคียง "คลินิกพรีเมียม รามาธิบดี เฮลธ์ สเปซ @พาราไดซ์ พาร์ค" (Ramathibodi Health Space) ที่ตั้งอยู่ภายในศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค ชั้น 3 เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สะดวกสบาย ในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายแพทย์ ได้ที่ รามาธิบดี เฮลธ์ สเปซ ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค เปิดให้บริการทุกวัน 8.00-20.00 น.
โทร. 0-2201-0640-45
Line Official Account : @ramaparadise
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ คลินิกพรีเมียม รามาธิบดี เฮลธ์ สเปซ @พาราไดซ์ พาร์ค
หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลความรู้ ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ หากมีข้อสงสัย หรือต้องการคำแนะนำในการรักษา ควรปรึกษาแพทย์