ปวดกราม! เคี้ยวอาหารลำบาก อาจเป็นเพราะกรามค้าง

  •  10 มี.ค. 68

ปวดกราม! เคี้ยวอาหารลำบาก อาจเป็นเพราะกรามค้าง

 

โรคกรามค้างคืออะไร? 

โรคกรามค้างคือภาวะที่ข้อต่อขากรรไกร (Temporomandibular Joint) ที่เชื่อมต่อกระดูกขากรรไกรล่างกับกะโหลกศีรษะ ทำงานผิดปกติ สาเหตุอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น พฤติกรรมการเคี้ยวอาหารที่แข็งหรือเหนียว การนอนกัดฟัน ความเครียด การบาดเจ็บ การสบฟันผิดปกติ หรือแม้แต่การใช้งานขากรรไกรมากเกินไป 

 

อาการที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง? 

  • ปวดบริเวณขากรรไกร กกหู หรือขมับ 
  • ปวดศีรษะ คอ หรือไหล่ 
  • อ้าปากได้จำกัด หรืออ้าปากแล้วเจ็บ 
  • มีเสียงดังคลิก หรือเสียงกึกกักขณะอ้าปากหรือหุบปาก 
  • เคี้ยวอาหารลำบาก หรือรู้สึกเจ็บขณะเคี้ยว 
  • หุบปากไม่ลง หรือขากรรไกรล็อค 

 

โดยกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับอาการกรามค้าง มีดังนี้

  1. กล้ามเนื้อที่ใช้ในการบดเคี้ยวและขบกัด (Masseter) 

เป็นกล้ามเนื้อที่เกิด Trigger Points ได้บ่อยมาก กล้ามเนื้อมัดนี้จะทำหน้าที่ยกขากรรไกรล่าง ขึ้นบนเพื่อทำให้ฟันสบกัน  

ภาพที่ 1 แสดงกล้ามเนื้อ Masseter 

 

  1. กล้ามเนื้อที่ใช้ในการยกขากรรไกร (Pterygoid) 

กล้ามเนื้อมัดนี้เป็นจุดแขวนไม่ให้ขากรรไกรล่างหล่นไปด้านล่าง ในระหว่างการบดเคี้ยวอาหาร 

ภาพที่ 2 แสดงกล้ามเนื้อ Pterygoid 

  1. กล้ามเนื้อขมับ (Temporalis) 

กล้ามเนื้อมัดนี้ทำหน้าที่ดึงกระดูกกรามขึ้นบนหรือให้เคลื่อนไปข้างหลัง เมื่อมีการบดเคี้ยวอาหาร และช่วยให้เราสามารถหุบปากได้ขณะที่ไม่ได้ใช้งาน 

ภาพที่ 3 แสดงกล้ามเนื้อ Temporalis 

 

ผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคกรามค้าง 

โรคกรามค้าง นั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่กลุ่มคนที่มักจะพบปัญหาโรคกรามค้างบ่อยกว่าคนทั่วไป เกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น การใช้งานขากรรไกรบ่อยๆ การกัดฟัน ความเครียด หรืออุบัติเหตุ ได้แก่: 

  • เพศหญิง: มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคกรามค้างมากกว่าเพศชาย 
    • ฮอร์โมน: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายผู้หญิง เช่น ในช่วงมีประจำเดือน การตั้งครรภ์ หรือวัยหมดประจำเดือน อาจส่งผลต่อความไวของข้อต่อและกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดการอักเสบและปวดได้ง่ายขึ้น 
    • โครงสร้างใบหน้า: โครงสร้างใบหน้าของผู้หญิงและผู้ชายแตกต่างกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อแรงที่กระทำต่อข้อต่อขากรรไกรได้ไม่เท่ากัน 
    • พฤติกรรม: ผู้หญิงบางคนอาจมีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคกรามค้างมากกว่า เช่น การบดฟัน หรือการขบกรามขณะนอนหลับ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อยในผู้หญิง 
    • ความเครียด: ผู้หญิงมักเผชิญกับความเครียดในชีวิตประจำวันมากกว่าผู้ชาย ซึ่งความเครียดสามารถทำให้กล้ามเนื้อตึงเครียดและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกรามค้างได้ 
  • ผู้ที่ใช้งานขากรรไกรบ่อย: เช่น ผู้ที่ทำงานที่ต้องพูดคุยหรือเคี้ยวอาหารบ่อยๆ 
  • ผู้ที่นิยมกัดฟันหรือขบกราม: พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้กล้ามเนื้อขากรรไกรทำงานหนักเกินไป 
  • ผู้ที่เคยได้รับอุบัติเหตุบริเวณขากรรไกร: การบาดเจ็บอาจส่งผลต่อโครงสร้างของข้อต่อขากรรไกร 
  • ผู้ที่มีความเครียดสะสม: ความเครียดเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เพราะทำให้กล้ามเนื้อตึงเครียด 

การรักษาโรคกรามค้าง 

การรักษากรามค้างจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ มีตั้งแต่การดูแลตัวเองเบื้องต้น การทำกายภาพบำบัด การใช้ยา ไปจนถึงการผ่าตัด 

  • การดูแลตัวเองเบื้องต้น: พักการใช้ขากรรไกร งดอาหารที่แข็งหรือเหนียว ประคบเย็นบริเวณที่ปวดเพื่อลดอาการอักเสบ 
  • การใช้ยา: ใช้ยาแก้ปวด หรือยาคลายกล้ามเนื้อ ตามคำแนะนำของแพทย์ 
  • การใส่เฝือกสบฟัน: ใส่เฝือกสบฟันเพื่อป้องกันการกัดฟัน และปรับการสบฟัน 
  • การผ่าตัด: ในกรณีที่อาการรุนแรง หรือรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล 
  • การกดจุด Trigger point: การกดจุดสลาย “Trigger point” หรือ “พังผืด” ทำให้การเดินทางของสารอาหารและออกซิเจนสะดวกยิ่งขึ้น แล้วหายขาดจากการปวดเมื่อยอย่างสิ้นเชิง 

 

 

คลินิกหมอโสฬสช่วยคุณได้อย่างไร?  

คลินิกหมอโสฬสมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาอาการบาดเจ็บจากการปวดเมื่อย พร้อมให้บริการตรวจประเมินสภาพกล้ามเนื้อ ตามหลักวิทยาศาสตร์การแพทย์ วางแผนการรักษา และให้คำแนะนำในการดูแลตัวเอง เพื่อให้นักวิ่งทุกคนสามารถกลับไปวิ่งได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง  

  • การรักษาโดยการกดจุด Trigger Points: การกดจุด Trigger Points เป็นเทคนิคการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการลดอาการปวด และคลายกล้ามเนื้อที่หดเกร็ง หรือพังผืด ช่วยลดการตึงเครียดของกล้ามเนื้อ เพิ่มการไหลเวียนของเลือด และเพิ่มประสิทธิภาพในการวิ่ง  
  • รักษาอาการบาดเจ็บ: ไม่ว่าคุณจะมีอาการปวดเข่า ข้อเท้า หรือกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ คุณหมอสามารถวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้คุณกลับไปวิ่งได้อีกครั้ง  
  • ประเมินสภาพกล้ามเนื้อ: สำหรับนักวิ่งที่ยังไม่มีอาการบาดเจ็บ การตรวจประเมินสภาพกล้ามเนื้อจะช่วยให้คุณรู้ถึงประสิทธิภาพของกล้ามเนื้อ และวางแผนการฝึกซ้อมได้อย่างเหมาะสม  

   

Trigger Point คืออะไร?  

Trigger Point คือ ปมกล้ามเนื้อหรือผังผืดที่แข็งตึง เกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อซ้ำๆ ทำให้กล้ามเนื้ออักเสบและเกิดเป็นปม จากอาการตึงเครียด และเกร็งตัวจน ไปขัดขวางเส้นเลือดไม่ให้สามารถนำพาสารอาหาร และออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงได้เต็มที่ ไปทำให้ข้อต่อต่างๆ เสื่อมสภาพ และไปเบียดรบกวนเส้นประสาทให้ส่งสัญญานที่ผิดปกติ ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อย ตึงชา และอาจส่งผลให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา เช่น ปวดหัว ปวดหลัง ปวดข้อต่อต่างๆ   

การกดจุดสลาย Trigger Point คือ การนวดเพื่อสลายปมกล้ามเนื้อเหล่านี้ ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย เลือดไหลเวียนดีขึ้น และอาการปวดต่างๆ จะเน้นการแก้ปัญหาที่ผิดปกติของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และข้อต่อขณะทำการรักษา จะรู้สึกเจ็บกว่าการนวดแผนไทยทั่วไป ในทุกๆ ครั้งที่ทำการรักษา พังผืดจะค่อยๆ ถูกสลายไปเรื่อยๆ เมื่อพังผืดถูกสลายจนหมด กล้ามเนื้อ และข้อต่อบริเวณนั้นๆ มีความยืดหยุ่น อาการปวด ตึง ชา แสบร้อน อ่อนแรง หรืออาการผิดปกติอื่นๆ จะหายไปอย่างถาวร 

  

ข้อดีของการกดจุดสลาย Trigger Point  

  • แก้ปัญหาตรงจุด: แก้ปมกล้ามเนื้อที่เป็นต้นเหตุของอาการปวดโดยตรง  
  • เห็นผลเร็ว: อาการดีขึ้นหลังทำเพียง 1-2 ครั้ง  
  • ผลลัพธ์อยู่ได้นาน: หากดูแล ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อาการปวดเมื่อยจะหายไปอย่างถาวร แต่หากผู้ป่วยยังจำเป็นต้องอยู่ในอิริยาบถเดิมๆ ร่างกายก็จะค่อยๆ เริ่มสะสมพังผืดใหม่ แต่กว่าจะสะสมจนกลับมามีอาการแบบเดิมนั้น จะใช้ระยะเวลานานมาก (เป็น 10 ปี)  

 ข้อควรระวัง  

  • รู้สึกเจ็บ: ระหว่างการรักษาจะรู้สึกเจ็บ เนื่องจากกดที่ปมกล้ามเนื้อโดยตรง  
  • อาการอาจเปลี่ยนแปลง: หลังทำ อาการปวดอาจย้ายที่ไปยังจุดอื่น แต่จะค่อยๆ หายไปเอง 

 

การป้องกันโรคกรามค้าง

  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำร้ายขากรรไกร เช่น การเคี้ยวอาหารที่แข็งหรือเหนียวเป็นเวลานาน การกัดฟัน หรือขบกราม 
  • จัดการความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ 
  • รักษาสุขภาพช่องปากให้ดี หากมีอาการผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์

 

*หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลความรู้ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ หากมีข้อสงสัย หรือต้องการคำแนะนำในการรักษา ควรปรึกษาแพทย์