เลือกไม้แบดอย่างไรให้เหมาะกับตัวเอง? มือเริ่มต้นจนถึงมือโปร 

  •  13 มี.ค. 68

เลือกไม้แบดอย่างไรให้เหมาะกับตัวเอง? มือเริ่มต้นจนถึงมือโปร 

การตีแบดมินตันเป็นกิจกรรมที่สนุกและเป็นการออกกำลังกายที่ดี และได้รับความนิยมมากขึ้น ไม่เพียงแต่ช่วยพัฒนาสุขภาพร่างกาย แต่ยังเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความคล่องตัว และความอดทน นอกจากนี้ ยังเป็นกีฬาที่สามารถเล่นได้ทุกเพศทุกวัย  ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเพื่อความสนุกสนานหรือเพื่อการแข่งขัน การเลือกไม้แบดที่เหมาะสมจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้คุณเล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

เลือกไม้แบดอย่างไรให้เหมาะกับตัวเอง? มือเริ่มต้นจนถึงมือโปร 

บทความนี้ผู้เขียนตั้งใจเขียนเพื่อให้ มือใหม่ที่กำลังเริ่มเล่น หรือแม้แต่มือโปร เข้าใจลักษณะของไม้แบดแต่ละชนิด และการเลือกไม้แบดให้เหมาะสมกับตัวเอง เพราะผู้เขียนเอง เคยเจอปัญหาการบาดเจ็บ ซึ่งเกิดจากการเลือกใช้ไม้แบดที่ไม่เหมาะสมมาก่อน ถึงขนาดต้องเลิกเล่น และรักษาอยู่หลายๆ เดือนเลย บทความนี้ ผู้เขียนเชื่อว่า หลังจากอ่านจบจะทำให้ผู้อ่านสามารถเลือกไม้แบดมิดตันอันถัดไปได้เหมาะสมกับตัวเองแน่นอน!

 

ทำไมการเลือกไม้แบดที่เหมาะสมถึงสำคัญ?

การเลือกไม้แบดมินตันที่เหมาะสมมีผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพการเล่นของเรา  และที่สำคัญยังเป็นการป้องกันการบาดเจ็บอีกด้วย  การใช้ไม้แบดที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่ข้อมือ ไหล่ ข้อศอก และกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อพลังในการตี ความแม่นยำ และความสามารถในการควบคุมลูก 

ไม้แบดมินตันมีหลายประเภทที่ออกแบบมาให้เหมาะกับสไตล์การเล่นและระดับทักษะของผู้เล่น โดยองค์ประกอบหลักๆ ที่ควรพิจารณาในการเลือกจะมีอยู่ 5 เรื่อง ได้แก่  

  1. น้ำหนัก  
  2. บาลานซ์ หรือจุดศูนย์ถ่วง 
  3. ความยืดหยุ่นของก้าน  
  4. ขนาดกริป
  5. ความตึงของเอ็น  

 

มาทำความเข้าใจไม้แบดมินตันกันเลย

1.น้ำหนักของไม้แบด (Racket Weight) เป็นน้ำหนักรวมของไม้แบดเปล่า 

น้ำหนักของไม้แบดเป็นตัวแปรสำคัญของคุณภาพการเล่น เนื่องจากน้ำหนักของไม้แบดมีผลต่อความคล่องตัว ความเข้ามือ การออกท่าทาง และการเคลื่อนไหว ซึ่งการเลือกก็ดูจากความแข็งแรงของผู้เล่น และสไตล์การเล่น น้ำหนักของไม้แบดนั้นก็มีหลากหลาย ใช้หน่วยเป็น U ซึ่งตัวเลขยิ่งน้อยเท่าไร น้ำหนักก็จะยิ่งมากขึ้น ผู้ที่เพิ่งเริ่มเล่นควรเริ่มจากน้ำหนักเบาๆ  เพราะง่ายต่อการควบคุม และช่วยลดโอกาสของการบาดเจ็บจากการเล่น ตัวอย่างน้ำหนักของไม้แบด  

  • 2U (90-94g.) : หนัก (Heavy weight) แต่ปัจจุบันผู้เขียนไม่เห็นมีใครเล่นน้ำหนักไม้ขนาดนี้แล้ว แม้แต่ร้านค้าก็ไม่เคยเห็นจำหน่ายด้วยนะ  
  • 3U (85-89g.) : หนักปานกลาง (Medium weight)  
  • 4U (80-84g.) : เบา (Light weight) 
  • 5U (75-79g.) : เบามาก (Ultralight weight) 

ซึ่งปัจจุบัน หลายๆ แบรนด์ผลิตไม้แบดที่มีน้ำหนักเบาออกมาหลากหลายมากขึ้น  ได้แก่ 6U(70-74g.), 7U(65-69g.), บางยี่ห้อมีถึง 9U เลยด้วยซ้ำ ซึ่งสามารถสังเกตุน้ำหนักของไม้ที่กรวยของก้านไม้แบด 

  • ไม้เบา ตีสวิงลูกได้เร็วกว่า การควบคุมหน้าไม้ทำได้คล่องตัวกว่า ง่ายกว่า เหมาะสำหรับการเล่นหน้าตาข่าย เล่นทาง วางลูก พลิกลูก ได้คล่องตัวแม่นยำ ช่วยให้เคลื่อนไหวได้รวดเร็ว เหมาะสำหรับผู้เล่นที่เน้นเกมรับ 
  • ไม้หนัก ตีสวิงลูกได้รุนแรงกว่า มีน้ำหนักที่หัวไม้มากกว่า เหมาะสำหรับการเล่นลูกตบที่หนักหน่วงและมีน้ำหนักและทิศทางที่แน่นอน เหมาะกับผู้เล่นที่ชอบเกมรุก 

 

เลือกไม้แบดอย่างไรให้เหมาะกับตัวเอง? มือเริ่มต้นจนถึงมือโปร 

2.บาลานซ์ หรือจุดศูนย์ถ่วง (Balance Point) จะวัดจากปลายด้ามจับ (Grip End) 

บาลานซ์ของไม้ก็เป็นตัวชี้วัดคุณสมบัติของไม้แต่ละอันว่าไม้นั้นๆเหมาะสำหรับเทคนิคการเล่นของเราในการเล่นคู่-เล่นเดี่ยว เล่นเกมรุก-เล่นเกมรับได้ดีเช่นกัน ส่วนใหญ่ไม้แบดจะเขียนจุดศูนย์ถ่วงไว้ที่ก้านไม้จุดศูนย์ถ่วงเป็นจุดที่วัดจากปลายด้ามจับ เป็นจุดที่แสดงให้เห็นว่าน้ำหนักของไม้ทั้งหมดอยู่ที่ส่วนใดของก้านไม้ ยิ่งห่างจากปลายด้ามจับ ก็จะทำให้ไม้มีแรงส่งลูกมาก เมื่อใช้แรงผลักตีลูกเท่ากัน 

  1. ไม้หัวเบา (Head light)
    • จุดศูนย์ถ่วงมีระยะ 270-280 mm
    • เป็นไม้เหมาะสำหรับเกมรับและวางลูก
    • ช่วยให้เคลื่อนไหวได้รวดเร็ว
    • ช่วยให้ควบคุมและป้องกันได้ดีขึ้น เหมาะสำหรับผู้เล่นที่เน้นเกมรับ 
  2. ไม้หัวหนักปานกลาง (Even/Neutral)
    • จุดศูนย์ถ่วงมีระยะ 275-285 mm 
    • เป็นไม้เหมาะสำหรับทั้งเกมรุก-เกมรับ
    • เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบตีลูกแรง
    • มีความสมดุลระหว่างพลังและความคล่องตัว เหมาะสำหรับผู้เล่นรอบด้าน 
  3. ไม้หัวหนัก (Head Heavy)
    • จุดศูนย์ถ่วงมีระยะ285-325 mm.
    • เป็นไม้เหมาะสำหรับเกมรุก
    • ให้พลังในการตบที่มากขึ้น เหมาะกับผู้เล่นที่ชอบเกมรุก

 

3.ความยืดหยุ่นของก้าน(Stiffness of Shaft)โดยทั่วไปมี 3 ระดับ 

  • ระดับ Soft หรือ Super flex  เหมาะที่จะเป็นไม้รับ หรือวางลูก ก้านไม้ยืดหยุ่นได้ดี มีแรงดีดลูกจากหน้าไม้ได้ไวแรง ช่วยเสริมให้ดีดส่งลูกไปท้ายคอร์ด การรับลูกตบ เหมาะเป็นลูกโต้ตอบได้ฉับไว โดยเฉพาะลูกดาด ช่วยเพิ่มพลังในการตี โดยไม่ต้องออกแรงมาก เหมาะกับผู้เริ่มต้น 
  • ระดับ Medium หรือ Regular ก้านแข็งปานกลาง ปกติ เหมาะที่จะเป็นไม้รุกและรับในตัว ช่วยเสริมให้การดีดลูกจากหน้าไม้ได้ดี การวาดหน้าไม้ทำได้คล่องทั้งรุกและรับได้ดีพอๆกัน จะสมดุลระหว่างพลังและการควบคุม เหมาะสำหรับผู้เล่นระดับกลาง 
  • Stiff หรือ Extra stiff ก้านแข็ง เหมาะที่จะเป็นไม้รุก ช่วยให้การส่งถ่ายพลังแรงจากข้อมือไปผลักกระทบกับลูกได้รุนแรงอย่างมีประสิทธิภาพที่สมบูรณ์ ทั้งน้ำหนักและทิศทาง เช่นลูกตบ ลูกหยอดหน้าข่าย ลูกครึ่งตบครึ่งตัด (Topspin)แต่ต้องใช้พลังตีมาก เหมาะสำหรับเกมรุกเป็นสำคัญ ส่วนเกมรับก็ทำได้ในระดับดีพอสมควร เหมาะสำหรับผู้เล่นที่มีทักษะสูง 

 

ซึ่งการเลือกไม้แบด ผู้เล่นต้องเลือก และพิจารณา ทั้ง น้ำหนักไม้ บาลานซ์ไม้ และความยืดหยุ่นของก้านประกอบกัน เช่น หากต้องการคุณสมบัติของไม้ที่เบา (4u) และเป็นไม้รุกไปในตัว ควรพิจารณาที่ก้านไม้ ควรเป็นไม้ก้านแข็ง(Stiff) และมีจุดศูนย์ถ่วงเป็นไม้หัวหนัก(Head Heavy) จะทำให้การตีลูกการผลักลูกออกไปมีพลังที่หนักหน่วงรุนแรงและได้ทิศทาง 

 

เสริมประสิทธิภาพให้ไม้แบดได้ง่ายๆ ด้วยการเลือกเอ็นไม้แบดที่ใช่ 

     นอกจากการเลือกไม้แบดแล้ว เอ็นแบดก็ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีส่วนช่วยเสริมประสิทธิภาพให้ไม้แบดของผู้เล่นอีกด้วย เพราะอย่างที่รู้กันว่าบริเวณเอ็นแบดเป็นบริเวณที่ต้องสัมผัสกับลูกขนไก่ จึงเป็นส่วนที่มีผลต่อการเล่นเช่นเดียวกับส่วนอื่นๆ ของไม้แบด โดยลักษณะทั่วไปของเอ็นแบดจะต้องไขว่กัน เรียบ ความยาวไม่ควรเกิน 280 มิลลิเมตร และความกว้างไม่เกิน 220 มิลลิเมตร ส่วนวิธีการเลือกเอ็นไม้แบดนั้นผู้เล่นจะต้องคำนึงถึง ขนาดเอ็นไม้แบด และการขึ้นเอ็นไม้แบด ตามรายละเอียดดังนี้ 

เลือกไม้แบดอย่างไรให้เหมาะกับตัวเอง? มือเริ่มต้นจนถึงมือโปร 

4. ขนาดเอ็นไม้แบด 

ขนาดเอ็นไม้แบดก็เหมือนกับส่วนอื่นๆ ของไม้แบดที่มีผลต่อคุณภาพ และประสิทธิภาพของการเล่น ซึ่งขนาดที่แตกต่างกันออกไปก็เหมาะกับรูปแบบการเล่นที่ต่างกัน ขนาดเอ็นไม้แบดสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ขนาด ได้แก่

  • เอ็นเส้นเล็ก มีขนาดอยู่ที่ 0.66 มิลลิเมตร มีความเด้ง ความดัง และการดูดซับแรงกระแทกสูง ควบคุมง่าย ส่วนความคงทนอยู่ที่ระดับกลางๆ เอ็นในลักษณะนี้เหมาะกับผู้ที่เพิ่งเริ่มเล่น มีความแข็งแรงน้อย และชอบความเด้งของการตี 
  • เอ็นเส้นกลาง มีขนาดอยู่ที่ 0.68 มิลลิเมตร มีความเด้ง ความดัง  และการดูดซับแรงกระแทกที่น้อยกว่าแบบเส้นเล็กเล็กน้อย ควบคุมค่อนข้างง่าย ความคงทนค่อนข้างดี เหมาะกับผู้ที่เริ่มชำนาญในการเล่น และมีแรงระดับกลางๆ  
  • เอ็นเส้นใหญ่ มีขนาดอยู่ที่ 0.70 มิลลิเมตร มีความเด้ง ความดัง และการดูดซับแรงกระแทกในระดับกลาง ควบคุมไม่ยาก มีความคงทนสูง เหมาะกับผู้ที่มีทักษะการเล่นเป็นอย่างดี มีแรงเยอะ กล้ามเนื้อและข้อมือแข็งแรง 

 

5.ความตึงของเอ็น คือ ค่าสูงสุดที่ไม้รับได้(String Tension Tolerance) 

         โดยจะแบ่งเป็นแนวตั้ง (Main) แนวดิ่ง (Vertical) กับแนวนอน (Cross) (Horizontal) วัดค่าเป็นปอนด์ โดยแนวตั้งแนวดิ่งจะรับได้น้อยกว่าแนวนอน ไม้ที่เบาจะรับความตึงของเอ็นได้น้อยกว่า ความบอบบางของเฟรม ตัวอย่าง เช่น                 ไม้ Victor Super Nano 5 จะเขียนค่าความตึงของเอ็นไว้ที่โคนไม้ ว่าแนวดิ่ง V:≤28lbs แนวนอนH:≤30lbs ไม้ Dunlop เขียนว่า Max string tension 26lbs 

การขึ้นเอ็นไม้แบดเป็นการปรับระดับเอ็นให้เหมาะสมกับความต้องการ และรูปแบบการเล่นของผู้ใช้ การขึ้นเอ็นไม้แบดโดยทั่วไปสำหรับผู้หญิงจะอยู่ที่ 18-22 ปอนด์ สำหรับผู้ชายจะอยู่ที่ 21-24 ปอนด์ การขึ้นเอ็นที่ปอนด์สูง เหมาะกับผู้ที่ต้องการใช้แรงในการตบเยอะ ควบคุมลูกขนไก่ได้ดี แต่ก็จะใช้กำลังแขนเยอะขึ้นตามไปด้วย หากปอนด์น้อย จะทำให้การตีง่ายขึ้น ทุ่นแรงจากข้อมือ แต่การควบคุมลูกขนไก่ก็จะยากกว่าแบบเบอร์ปอนด์สูง การขึ้นเอ็นไม้แบดสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ระดับดังนี้ 

  1. ระดับต่ำ การขึ้นเอ็นระดับต่ำก็คือมีระดับที่ต่ำกว่า 20 ปอนด์ ซึ่งในระดับนี้เอ็นจะมีความหย่อน การควบคุมลูกยาก การควบคุมทิศทางยาก ข้อดีคือ แรงสปริงดี 
  2. ระดับกลางต่ำ การขึ้นเอ็นระดับกลางต่ำก็คือมีระดับอยู่ที่ 21-23 ปอนด์ เหมาะกับมือใหม่ ในระดับนี้ แรงสปริงของหน้าไม้และการควบคุมลูกค่อนข้างดี 
  3. ระดับกลาง การขึ้นเอ็นระดับกลางก็คือมีระดับอยู่ที่ 23-25 ปอนด์ ซึ่งการตีในระดับนี้ ผู้เล่นจะรู้สึกว่าการตีมีความแข็งขึ้น แรงสปริงดี และจะเริ่มสังเกตถึงความเด้งเมื่อลูกสัมผัสกับเอ็น 
  4. ระดับกลางสูง การขึ้นเอ็นระดับกลางสูงก็คือการขึ้นเอ็นที่มีระดับอยู่ที่ 25-27 ปอนด์ ในระดับนี้แรงสปริงจะลดลง ซึ่งช่วยให้เกิดความแม่นยำในการออกแรง ความแข็งจะมากขึ้น ควบคุมลูกได้ง่ายตามแรงที่ส่งออกไป การเล่นลูกหยอดในการขึ้นเอ็นระดับนี้ทำได้ดี และมีประสิทธิภาพ 
  5. ระดับสูง การขึ้นเอ็นระดับกลางต่ำก็คือมีระดับอยู่ที่ 28 ปอนด์ขึ้นไป ในระดับนี้จะเหมาะกับผู้เล่นมืออาชีพ การขึ้นเอ็นระดับนี้ช่วยเพิ่มความแข็งของหน้าไม้แบด มีการสะท้อนกลับที่รวดเร็ว การควบคุมง่าย ให้ความแม่นยำสูง ซึ่งต้องมีแรงตีมาก แต่ข้อเสียคือไม้แบดจะเกิดการชำรุดง่ายขึ้น 

 

6. ขนาดกริป 

การเลือกขนาดกริปที่เหมาะสมกับขนาดมือช่วยให้จับไม้ได้ถนัดมือและควบคุมการตีได้ดี ช่วยให้การเล่นแบดมินตันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หากกริปใหญ่เกินไป หรือเล็กเกินไป  จะทำให้จับไม้ไม่ถันัด  การควบคุมลูกจะยากขึ้น โดยทั่วไปแล้ว ด้ามจับที่ใช้ในการเล่นจะมีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภท ก็คือ 

  • Replacement Grip เป็นด้ามจับที่สามารถนำมาเปลี่ยนกับด้ามจับเดิมได้ ซึ่งจะมีความหนามากกว่าด้ามจับเดิมเล็กน้อย วัสดุมักทำจาก PU มีคุณสมบัติซึมซับเหงื่อและแรงเสียดทานได้ดี  
  • Overgrip เป็นด้ามจับที่มีลักษณะบาง สามารถนำมาพันกับด้ามเดิมของไม้แบด หรือพันรอบ Replacement Grip ช่วยให้ด้ามจับหนาขึ้น  
  • Towel Grip คือ ด้ามจับที่มีความหนาและหนัก ผลิตจากคอนตอน ซึมซับเหงื่อได้ดี แต่ข้อเสียคือ ต้องเปลี่ยนบ่อย การเลือกใช้ Grip แต่ละประเภทจะขึ้นอยู่กับการใช้งาน และสไตล์การเล่น หากผู้เล่นต้องการเล่นแบบ Control Play ด้ามจะต้องมีความบาง เพื่อการควบคุมที่ง่าย ส่วนผู้เล่นแบบ Power Play ที่ต้องใช้แรงมากขึ้น จะเหมาะกับด้ามแบดที่หนา เพราะการจับต้องแน่น และถนัดมือ 

เลือกไม้แบดอย่างไรให้เหมาะกับตัวเอง? มือเริ่มต้นจนถึงมือโปร 

การเลือกไม้แบดที่เหมาะสมกับระดับทักษะของคุณ 

ผู้เริ่มต้น 

  • ควรเลือกไม้ที่น้ำหนักเบาและก้านยืดหยุ่นเพื่อลดความเมื่อยล้า 
  • บาลานซ์อยู่ตรงกลางหรือหัวเบาเพื่อช่วยควบคุม 

 ผู้เล่นระดับกลาง

  • ไม้ที่มีบาลานซ์สมดุลและก้านปานกลาง เพื่อให้พลังและความแม่นยำ 

ผู้เล่นขั้นสูง

  • เลือกไม้ที่เหมาะกับสไตล์การเล่น เช่น ไม้หัวหนักสำหรับเกมรุก หรือไม้หัวเบาสำหรับเกมรับ 

 

ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกไม้แบด 

  • สไตล์การเล่น: หากชอบเกมรุกให้เลือกไม้หัวหนัก ถ้าชอบเกมรับให้เลือกไม้หัวเบา 
  • ความแข็งแรงทางร่างกาย: ผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งอาจใช้ไม้ก้านแข็ง ส่วนผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นควรเลือกก้านปานกลางหรืออ่อน 
  • งบประมาณ: ควรเลือกไม้ที่ให้ความคุ้มค่าต่อการใช้งาน โดยไม่จำเป็นต้องแพงที่สุดเสมอไป 

เลือกไม้แบดอย่างไรให้เหมาะกับตัวเอง? มือเริ่มต้นจนถึงมือโปร 

แนะนำไม้แบดมินตันสำหรับมือใหม่ 

วิธีเลือกไม้แบด มือใหม่ควรใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะการเลือกไม้แบดส่งผลต่อการเล่น ควรเลือกไม้ที่ตอบโจทย์สไตล์การเล่นของตัวเองมากที่สุดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นและลดความเสี่ยงบาดเจ็บ ไม้แบดมินตันสำหรับมือใหม่ที่แนะนำควรมีลักษณะ คือ เลือกไม้แบดหัวหนักปานกลาง (ระยะศูนย์ถ่วง 275-285 มม.) เพราะเป็นไม้ที่เหมาะสำหรับมือใหม่ สามารถเล่นได้ทั้งตำแหน่งรุกและรับ สามารถควบคุมทิศทางของลูกได้ง่ายโดยที่ไม่ต้องออกแรงตีเยอะ 

  • เลือกไม้แบดมินตันก้านนุ่ม การเลือกไม้แบดก้านนุ่มช่วยให้ผู้เล่นไม่ต้องออกแรงเยอะ แถมยังเล่นได้ทุกสไตล์ เหมาะกับผู้เล่นหน้าใหม่ที่ยังไม่มีทักษะหรือยังไม่มีกล้ามเนื้อแขนมากนัก 
  • เลือกความตึงเอ็นให้อยู่ที่ประมาณ 20 - 23 ปอนด์ การเลือกเส้นเอ็นไม้แบดที่ตึงจนเกินไปจะทำให้การควบคุมลูกแบดเป็นไปได้ยาก และหากเอ็นหย่อนเกินไปก็อาจต้องออกแรงตีมากขึ้น ดังนั้น ควรเลือกความตึงของเอ็นให้เหมาะสมที่ประมาณ 20-23 ปอนด์ ซึ่งเหมาะสมกับมือใหม่มากที่สุด
  • ส่วนใครที่เริ่มเก่งและมีทักษะมากขึ้น อาจมีการพัฒนากล้ามเนื้อแขนขึ้นไประดับหนึ่งแล้ว ก็สามารถปรับเอ็นขึ้นไปที่ 24-26 ปอนด์ได้ เพราะยิ่งเอ็นตึง ลูกก็ยิ่งสปีดเร็ว แต่ทั้งนี้ก็ต้องแลกมาด้วยการออกแรงตีเยอะกว่าเดิม 
  • เลือกไม้แบดที่น้ำหนัก 4U - 5U สำหรับมือใหม่นั้น น้ำหนักขแงไม้แบดที่แนะนำจะอยู่ที่ 4U - 5U เพราะเป็นน้ำหนักที่ไม่มาก ทำให้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัว อีกทั้งยังช่วยลดอาการบาดเจ็บ แต่เมื่อเริ่มเก่งขึ้นแล้วก็สามารถขยับขึ้นมาเป็น 3U - 4U ได้ 

แนะนำไม้แบดมินตันสำหรับมือโปร 

เหล่านักตบลูกขนไก่มือโปรฯ อาจจะคุ้นเคยกันดีกับการเลือกไม้แบดอยู่แล้ว โดยไม้แบดมินตันสำหรับมือโปรฯ ที่แนะนำ คือ 

  • เลือกไม้แบดหัวหนักปานกลางสำหรับสายรุก หัวหนักก้านนุ่มสำหรับสายรับ ผู้เล่นที่มีประสบการณ์มักจะมีสไตล์การเล่นเฉพาะตัว การเลือกไม้แบดให้เหมาะกับสไตล์การเล่นของตัวเองจะยิ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นให้ดีขึ้น โดยสายบุก สายหวด จะแนะนำให้เลือกไม้ที่มีหัวหนักปานกลางหรือหัวหนัก แต่สำหรับสายรับที่ต้องการการเคลื่อนไหวที่คล่องตัว จะแนะนำไม้แบดหัวหนักก้านนุ่ม 
  • เลือกไม้แบดที่ความตึงเอ็นได้ตั้งแต่ 26 - 35 ปอนด์ แล้วแต่ความถนัด สำหรับเหล่ามืออาชีพมักจะปรับความตึงเส้นเอ็นตามสไตล์การเล่นเฉพาะตัว ส่วนใหญ่แล้วมักจะขึงความตึงเอ็นที่ 26 - 28 ปอนด์ ถึง 33 - 35 ปอนด์ ยิ่งเอ็นตึงเท่าไหร่ ก็ต้องยิ่งอาศัยทักษะมากเท่านั้น อีกทั้งยังต้องอาศัยพละกำลังในการออกแรงและความเร็ว เพราะลูกจะเด้งบนเอ็นตึงๆ สปีดของลูกก็จะยิ่งแรงขึ้น 

แต่ละรุ่นมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ผู้เล่นควรทดลองจับและทดสอบการเล่นก่อนตัดสินใจซื้อ 

 

 การดูแลรักษาไม้แบดมินตันของคุณ 

  • การบำรุงรักษาเอ็น: ควรขึ้นเอ็นใหม่ทุก 3-6 เดือนหรือเมื่อรู้สึกว่าเอ็นเริ่มหย่อน เพราะหากเอ็นขาดโดยต้องรีบตัดเอ็น เพื่อป้องกันการบิดเบี้ยวของไม้แบด ซึ่งพบได้บ่อย หากเอ็นขาดแล้วปล่อยทิ้งไว้ โดยเฉพาะไม้แบดที่ขึ้นเอ็นมากกว่า 25lbs ขึ้นไป 
  • การจัดเก็บไม้แบด: ควรเก็บในกระเป๋า หรือซองไม้แบด 
  • การดูแลกริป: ควรเปลี่ยนกริปเมื่อเริ่มลื่นหรือสึกหรอ

เลือกไม้แบดอย่างไรให้เหมาะกับตัวเอง? มือเริ่มต้นจนถึงมือโปร 

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการใช้ไม้แบด 

เมื่อเลือกไม้แบดคู่ใจได้แล้ว สิ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือการดูแลรักษา หรือการเก็บรักษาไม้แบดนั่นเอง ใครอยากมีไม้แบดที่โดนใจ ใช้งานคู่กับเราไปยาวๆ ต้องปฏิบัติตามนี้เลย 

  1. ไม่ควรนำไม้แบดไปตากแดดจัดๆ หรือเก็บไว้ในบริเวณที่มีแดดจัด เพราะจะทำให้ไม้แบดเสื่อมสภาพ 
  2. เก็บในพื้นที่แห้งและเย็น 
  3. ไม่ควรนำสิ่งของมาวางทับไม้แบด  
  4. ควรหมั่นเปลี่ยนเอ็น และ Grip เป็นประจำ 
  5. ควรทำความสะอาดทุกครั้งหลังเล่นเสร็จ 

ในการเลือกไม้แบดให้เหมาะสมกับตัวเรานั้นจะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ให้ดี เพราะไม้แบดที่ดีและมีคุณภาพจะช่วยให้การเล่นแบดมินตันมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งทุกคนสามารถดูวิธีเลือกไม้แบดจากบทความนี้ได้เลย เช่น การเลือกประเภทไม้แบด หรือการเลือกเอ็นไม้แบด เป็นต้น นอกจากนี้ สำหรับใครที่กำลังมองหาสนามแบดมินตันเพื่อเล่นกีฬา ที่ศูนย์การค้า PARADISE PARK ที่ตอบ เพื่อให้ทุกคนสามารถออกกำลังกาย และทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเต็มที่

"BB Fitness" เปิดสาขาใหม่ ที่สาขา Paradise Park เปิดบริการทุกวัน 06.00 น.-21.00 น. เสาร์-อาทิตย์ เวลา 07.00 น.– 21.00 น.

ชั้น 4 ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค

เบอร์โทร: 082-210-2428

รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ BB FITNESS สาขาพาราไดซ์ พาร์ค