ในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น เกษตรอินทรีย์จึงกลายเป็นคำที่ได้ยินบ่อยครั้ง แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า เกษตรอินทรีย์ คืออะไร ต่างจากเกษตรทั่วไปอย่างไร มีขั้นตอนการทำยากหรือไม่ และมีประโยชน์อย่างไรบ้าง บทความนี้เราจะพาคุณไปรู้จักเกษตรอินทรีย์ให้มากขึ้น พร้อมยกตัวอย่างแบบเข้าใจง่าย
เกษตรอินทรีย์ คืออะไร?
เกษตรอินทรีย์ คือ ระบบการเกษตรที่เน้นการผลิตโดยไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งปุ๋ยเคมี สารกำจัดศัตรูพืช ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต หรือสารปรับปรุงดินที่เป็นสารเคมี เกษตรอินทรีย์มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน การหมุนเวียนธาตุอาหารภายในฟาร์ม และการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ปลอดภัยทั้งต่อเกษตรกร ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม
ขั้นตอนการทำเกษตรอินทรีย์
การทำเกษตรอินทรีย์มีขั้นตอนที่ต้องใส่ใจและให้ความสำคัญในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การเตรียมพื้นที่ไปจนถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยมีขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้
1. ตรวจสอบดินและแหล่งน้ำ
ก่อนเริ่มทำเกษตรอินทรีย์ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการตรวจสอบคุณภาพดินและแหล่งน้ำ พื้นที่ที่เหมาะสมต้องไม่เคยมีการใช้สารเคมีมาอย่างน้อย 3 ปี แหล่งน้ำต้องสะอาดไม่ปนเปื้อนสารพิษ และควรอยู่ห่างจากแหล่งอุตสาหกรรมหรือพื้นที่เกษตรเคมีเพื่อป้องกันการปนเปื้อนข้ามพื้นที่เกษตรอินทรีย์ ตัวอย่าง เช่น การส่งดินไปตรวจหาสารเคมีตกค้างที่ห้องปฏิบัติการ
2. ปรับปรุงดินให้มีคุณภาพ
ดินเป็นหัวใจสำคัญของเกษตรอินทรีย์ การปรับปรุงดินจึงใช้วิธีธรรมชาติเท่านั้น เช่น การใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ปุ๋ยพืชสด การปลูกพืชตระกูลถั่วเพื่อบำรุงดิน หรือการปลูกหญ้าแฝกเพื่อป้องกันการชะล้างหน้าดิน นอกจากนี้ เกษตรอินทรีย์ ตัวอย่างที่ดีคือการใช้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์เพื่อช่วยย่อยสลายอินทรียวัตถุและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์
3. คัดเมล็ดพันธุ์ และเพาะกล้า
เมล็ดพันธุ์สำหรับเกษตรอินทรีย์ต้องเป็นเมล็ดที่ไม่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรม (Non-GMO) และไม่ผ่านการคลุกสารเคมีใด ๆ ควรเลือกเมล็ดพันธุ์ที่มีความแข็งแรง ปราศจากโรคและแมลง และเหมาะสมกับพื้นที่ปลูก การเพาะกล้าควรทำในวัสดุปลูกอินทรีย์เพื่อให้ได้ต้นกล้าที่แข็งแรงก่อนนำไปปลูกจริง
4. ปลูกกล้าลงดิน
การปลูกกล้าลงดินในระบบเกษตรอินทรีย์ ควรวางแผนการปลูกแบบผสมผสาน หรือการปลูกพืชหมุนเวียน เพื่อลดการระบาดของโรคและแมลง ควรเว้นระยะห่างระหว่างต้นให้เหมาะสม เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดี ลดความชื้นสะสม ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคพืชหลายชนิด เกษตรอินทรีย์ ตัวอย่าง เช่น การปลูกพืชสลับชนิดกัน หรือการปลูกพืชไล่แมลงแซมระหว่างแปลง
5. หว่านปุ๋ยอินทรีย์
การใส่ปุ๋ยในระบบเกษตรอินทรีย์ใช้เฉพาะปุ๋ยอินทรีย์เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ปุ๋ยพืชสด น้ำหมักชีวภาพ หรือปุ๋ยชีวภาพต่าง ๆ โดยใส่ในปริมาณที่เหมาะสมและสม่ำเสมอ เพื่อให้พืชได้รับธาตุอาหารอย่างครบถ้วน ทำให้พืชเจริญเติบโตแข็งแรง ต้านทานโรคและแมลงได้ดี
6. ป้องกันศัตรูพืชด้วยวิธีธรรมชาติ
เกษตรอินทรีย์ป้องกันและกำจัดศัตรูพืชโดยไม่ใช้สารเคมี แต่ใช้วิธีธรรมชาติแทน เช่น การใช้สารสกัดจากพืช (น้ำส้มควันไม้, สะเดา, ข่า, ตะไคร้หอม) การใช้ชีวภัณฑ์ การใช้แมลงศัตรูธรรมชาติ การติดกับดักแมลง หรือแม้แต่การเก็บแมลงด้วยมือ เกษตรอินทรีย์ ตัวอย่าง เช่น การปลูกดาวเรืองไล่ไส้เดือนฝอยในแปลงผัก หรือการใช้เชื้อไตรโคเดอร์มาควบคุมโรครา
ประโยชน์ของการทำเกษตรอินทรีย์มีอะไรบ้าง
เกษตรอินทรีย์ นอกจากจะให้ผลผลิตที่ปลอดภัยแล้ว ยังมีประโยชน์อีกมากมายทั้งต่อเกษตรกร ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม ดังนี้
-
ด้านสุขภาพ - ผลผลิตจากเกษตรอินทรีย์ปลอดสารพิษตกค้าง มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และมีรสชาติที่ดีตามธรรมชาติ ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากสารเคมีตกค้าง
-
ด้านเศรษฐกิจ - ผลผลิตจากเกษตรอินทรีย์มีมูลค่าสูงกว่าผลผลิตทั่วไป 20-30% ช่วยลดต้นทุนจากการซื้อปุ๋ยเคมีและสารกำจัดศัตรูพืช เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากช่องทางการตลาดที่หลากหลาย
-
ด้านสิ่งแวดล้อม - เกษตรอินทรีย์ช่วยฟื้นฟูสภาพดิน เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ ลดมลพิษทางน้ำและอากาศ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และช่วยรักษาสมดุลของระบบนิเวศ
-
ด้านสังคม - ชุมชนที่ทำเกษตรอินทรีย์มักมีความเข้มแข็ง มีการแลกเปลี่ยนความรู้ สร้างเครือข่าย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากสภาพแวดล้อมที่ปลอดสารพิษ
มาตรฐานของเกษตรอินทรีย์มีอะไรบ้าง
เกษตรอินทรีย์ มีการรับรองมาตรฐานที่เข้มงวดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค การทำเกษตรยั่งยืนแบบนี้จึงมีหลักเกณฑ์สำคัญดังนี้
ไม่มีการใช้สารเคมี
หัวใจสำคัญของเกษตรอินทรีย์ คือการไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ทุกชนิดในทุกขั้นตอนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี สารกำจัดศัตรูพืช ฮอร์โมนสังเคราะห์ หรือสารปรับปรุงดินที่เป็นสารเคมี แม้แต่น้ำที่ใช้ในการเกษตรก็ต้องไม่มีการปนเปื้อนสารเคมี เพราะสารเคมีเหล่านี้ไม่เพียงตกค้างในผลผลิต แต่ยังส่งผลกระทบต่อดิน น้ำ และสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ หลักการนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดฟาร์มปลอดสารอย่างแท้จริง
ไม่ใช้พืชที่มีการตัดต่อพันธุกรรม (GMO)
เกษตรอินทรีย์ไม่อนุญาตให้ใช้พืชหรือสิ่งมีชีวิตที่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรม (GMO) เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลยืนยันถึงความปลอดภัยในระยะยาว อีกทั้ง GMO อาจส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เพราะสามารถแพร่พันธุ์และผสมข้ามกับพืชพันธุ์ดั้งเดิมได้ ทำให้สูญเสียพันธุกรรมที่มีคุณค่าทางธรรมชาติ รวมถึงอาจมีคุณค่าทางโภชนาการที่แตกต่างจากพืชธรรมชาติ การสร้างเกษตรยั่งยืนจึงต้องคำนึงถึงการรักษาพันธุ์พืชดั้งเดิมเป็นสำคัญ
ต้องสามารถตรวจสอบกระบวนการเกษตรได้
ระบบเกษตรอินทรีย์ต้องมีการบันทึกและเก็บข้อมูลในทุกขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่ที่มาของเมล็ดพันธุ์ การเตรียมดิน การปลูก การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยว การแปรรูป การบรรจุ และการขนส่ง เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ซึ่งเป็นการสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค นอกจากนี้ยังมีการตรวจประเมินจากหน่วยงานรับรองมาตรฐานอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ฟาร์มปลอดสารเหล่านี้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
ไม่สร้างมลภาวะให้สิ่งแวดล้อม
เกษตรอินทรีย์มุ่งเน้นการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยไม่สร้างมลพิษใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทางดิน น้ำ อากาศ หรือเสียง มีการจัดการของเสียและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การนำเศษพืชมาทำปุ๋ยหมักแทนการเผา การใช้พลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานสะอาด และการจัดการน้ำอย่างเหมาะสม ซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) และปัญหาสภาวะโลกร้อน หลักการนี้ตรงกับแนวคิดเกษตรยั่งยืนที่มุ่งเน้นความสมดุลของธรรมชาติ ทำให้ฟาร์มปลอดสารเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
ใส่ใจสุขภาพกับสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ Paradise Park
ที่ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค มีร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์คุณภาพดีหลายร้าน ที่คุณสามารถเลือกซื้อสินค้าปลอดสารพิษสำหรับครอบครัวได้ เช่น
-
Lemon Farm - ศูนย์รวมผลิตภัณฑ์อินทรีย์และปลอดสารพิษคุณภาพสูง มีทั้งผัก ผลไม้ อาหารแห้ง และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพครบวงจร
-
Villa Market - ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำที่มีแผนกผักและผลไม้อินทรีย์คุณภาพเยี่ยม
-
WATCHARAWAN Green Farm - ร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคหลากหลายชนิด ทั้งผักไทยและผักนำเข้า
นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารในพาราไดซ์หลายร้านที่ใช้วัตถุดิบจากเกษตรอินทรีย์ในการประกอบอาหาร ให้คุณได้ลิ้มลองความอร่อยที่ทั้งอิ่มอร่อยและได้สุขภาพดีอีกด้วย
สรุปบทความ
เกษตรอินทรีย์ เป็นระบบเกษตรกรรมที่ใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิต โดยไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และได้ผลผลิตที่ปลอดภัยต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค แม้จะต้องใช้ความอดทนและความใส่ใจมากกว่าเกษตรทั่วไป แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคนในห่วงโซ่อาหาร และความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ การเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์จากเกษตรอินทรีย์ จึงเป็นการดูแลทั้งตัวเองและโลกของเราไปพร้อมกัน
PARADISE PARK (ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค) ศูนย์การค้าย่านศรีนครินทร์ที่เน้นย้ำเรื่องของ Health & Wellness ภายใต้คอนเซ็ปต์อย่าง "LIVING IN HARMONY ใส่ใจการใช้ชีวิต กินดี อยู่ดี สุขภาพดี" เป็นศูนย์รวมความสุข ความสนุกให้กับทุก Generation ตอบโจทย์ทั้งสายกิน สายเที่ยว สายช้อป และสายสุขภาพ ครบครันทุกไลฟ์สไตล์ เดินทางสะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้า MRT สายสีเหลือง สถานีสวนหลวง ร.9 ทางออกที่ 2 นอกจากนี้ยังมีที่จอดรถมากมายไว้คอยบริการสำหรับผู้ที่เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว
ซึ่งนอกจากจะสามารถแวะมาซื้อผลิตภัณฑ์อินทรีย์และปลอดสารพิษคุณภาพสูงที่ Paradise Park ได้แล้ว ที่นี่ยังมีร้านค้า และร้านอาหารอีกมากมายที่เราอยากแนะนำให้คุณมาเยี่ยมชมด้วยตัวเอง โดยสามารถดูข้อมูลร้านค้าเพิ่มเติมได้ที่ Directory นอกจากนี้ยังสามารถติดตามอัปเดตข่าวสารและกิจกรรมต่าง ๆ เพิ่มเติมได้ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของเรา อาทิ
-
LINE OA @paradisepark_th
-
ติดต่อสอบถาม MBK Contact Center โทร 1285
ใส่ใจสุขภาพ พร้อมเติมสุขต่อที่ 2 ด้วยการสะสมคะแนนกับ MBK PLUS
สำหรับคนที่แวะมาผลิตภัณฑ์อินทรีย์และปลอดสารพิษคุณภาพสูงที่ Paradise Park สามารถเติมความสุขได้ถึง 2 ต่อ เพียงแค่แอด LINE OA @mbkplus และซื้อสินค้าหรือบริการภายในศูนย์การค้า Paradise Park และธุรกิจในเครือ MBK Group แล้วนำใบเสร็จจากร้านค้าที่ร่วมรายการมาสะสมคะแนนกับ MBK Plus เพื่อนำไปแลกสุขจุก ๆ กับสิทธิประโยชน์สุดคุ้ม ไม่ว่าจะเป็นส่วนลด คูปอง หรือสิทธิพิเศษต่าง ๆ
-
สะสม สุขจุก ๆ: ทุกการช้อปมีแต่ได้ สะสมพอยท์เพื่อรับสิทธิพิเศษมากมายแบบจุก ๆ
-
แลก สุขจุก ๆ: ง่ายขึ้น 1 พอยท์ = 1 บาท แลกรับส่วนลดจุก ๆ และความพิเศษทุกไลฟ์สไตล์
-
แชร์ สุขจุก ๆ: โอนคะแนนให้เพื่อน แชร์พอยท์ รวมทั้งชวนเพื่อน มาส่งต่อความสุขด้วยกันไม่รู้จบ
ตรวจสอบเงื่อนไขการสะสมคะแนนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.paradisepark.co.th/mbkplus/