หยุดโรคอ้วน! ถึงเวลาสร้างสุขภาพดีให้ตัวเอง
โรคอ้วน หรือ Obesity หมายถึง ภาวะที่ร่างกายของเรามีการสะสมไขมันใต้ชั้นผิวหนังมากกว่าปกติ หรือเกิดกว่าที่ร่างกายจะเผาผลาญ จึงมีการสะสมพลังงานที่เหลือจากการเผาผลาญในรูปแบบของไขมันบริเวณต่าง ๆ อาทิ ต้นแขน ต้นขา หรือหน้าท้อง แต่ในสังคมปัจจุบันมองว่าการที่มีไขมันในร่างกายเพียงเล็กน้อย อาจจะถูกมองว่าเป็นโรคอ้วนได้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน ทางองค์การอนามัยโลก ได้มีการกำหนดการใช้ดัชนีมวลกาย หรือ Body Mass Index (BMI) เป็นเกณฑ์ในการวัดว่าบุคคลนั้น สมส่วน น้ำหนักเกิน ภาวะอ้วน หรือเป็นโรคอ้วน
ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) เป็นวิธีการวัดน้ำหนักของบุคคลเทียบกับส่วนสูงของร่ายการ โดยค่า BMI สัมพันธ์กับปริมาณไขมันภายในร่างกาย หากภายในร่างกายมีไขมันเพิ่มมากขึ้น แน่นอนว่าค่า BMI ของบุคคลนั้นก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
วิธีการคำนวณ BMI ในการหาค่าดัชนีมวลกาย
BMI = น้ำหนักตัว [กิโลกรัม] ÷ ส่วนสูง [เมตร] ยกกำลังสอง
- ยกตัวอย่างเช่น ผู้หญิง : น้ำหนัก 60 กิโลกรัม ส่วนสูง 156 เซนติเมตร
- ดัชนีมวลกาย (BMI) = 60 ÷ [1.56 x 1.56]
- ดัชนีมวลกาย (BMI) = 60 ÷ 2.43
- ดัชนีมวลกาย (BMI) = 24.69
เมื่อเราได้ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) แล้ว นำตัวเลขนี้ไปเทียบตามตารางเกณฑ์ BMI
การแปรผล |
ผลคำนวณดัชนีมวลกาย (BMI) |
ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน |
น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ |
น้อยกว่า 18.5 ลงไป |
มีความเสี่ยงในการเปิดโรคขาดสารอาหาร |
น้ำหนักสมส่วน |
18.5 – 22.9 |
โอกาสการเกิดโรคแทรกซ้อน น้อยที่สุด |
น้ำหนักเกินมาตรฐาน |
23.0 – 24.0 |
เริ่มมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนเล็กน้อย |
อ้วน |
25.0 – 29.0 |
เริ่มมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนในระยะอ้วนเริ่มต้น |
อ้วนมาก |
มากกว่า 30.0 ขึ้นไป |
เริ่มมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนอย่าง โรคอ้วน |
บุคคลที่มีภาวะอ้วน หรือเป็นโรคอ้วน จะมีความเสี่ยงเป็นโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจจะตามมาพร้อมกับโรคอ้วนด้วยเช่นเดียวกัน
ผลกระทบในด้านร่างกาย
โรคอ้วนไม่ได้ส่งผลกระทบแค่รูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายในหลายด้านอย่างมาก ผมขออธิบายผลกระทบที่สำคัญดังนี้
1. ระบบหัวใจและหลอดเลือด
- ความดันโลหิตสูง: ไขมันส่วนเกินทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นในการสูบฉีดเลือด ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
- โรคหัวใจ: คอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์สูงจากโรคอ้วน เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและหัวใจวาย
- โรคหลอดเลือดสมอง: ไขมันสะสมในหลอดเลือดสมอง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ: ไขมันที่สะสมบริเวณคอ ทำให้ทางเดินหายใจแคบลง ส่งผลให้หยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
2. ระบบทางเดินหายใจ
- หายใจลำบาก: ไขมันที่สะสมบริเวณหน้าอกและช่องท้อง ทำให้ปอดขยายตัวได้ยาก ส่งผลให้หายใจลำบาก โดยเฉพาะขณะออกกำลังกาย
- โรคหอบหืด: โรคอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหอบหืดและทำให้อาการแย่ลง
3. ระบบทางเดินอาหาร
- โรคกรดไหลย้อน: ไขมันที่สะสมบริเวณช่องท้อง เพิ่มแรงดันในกระเพาะอาหาร ทำให้กรดไหลย้อนขึ้นมา
- โรคไขมันพอกตับ: ไขมันสะสมในตับ ทำให้ตับอักเสบและอาจนำไปสู่โรคตับแข็ง
- นิ่วในถุงน้ำดี: โรคอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี
4. ระบบกระดูกและข้อ
- โรคข้อเข่าเสื่อม: น้ำหนักที่มากเกินไป ทำให้ข้อเข่ารับน้ำหนักมากเกินไป ส่งผลให้ข้อเข่าเสื่อม
- ปวดหลัง: น้ำหนักที่มากเกินไป ทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานหนักขึ้น ส่งผลให้ปวดหลัง
5. ระบบต่อมไร้ท่อ
- โรคเบาหวานชนิดที่ 2: โรคอ้วนทำให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้น้อยลง ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
- ภาวะดื้ออินซูลิน: ร่างกายไม่สามารถใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. โรคมะเร็ง
- โรคอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก และมะเร็งไต
7. ผลกระทบอื่นๆ
- ปัญหาทางด้านจิตใจ: โรคอ้วนอาจนำไปสู่ความรู้สึกไม่มั่นใจในตนเอง ซึมเศร้า และวิตกกังวล
- ปัญหาด้านการนอนหลับ: โรคอ้วนทำให้เกิดปัญหาการนอนหลับ เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- ปัญหาด้านการเจริญพันธุ์: โรคอ้วนอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญพันธุ์ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง
ผลกระทบในด้านจิตใจและสุขภาพจิต
โรคอ้วนไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ร่างกายเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพจิตใจด้วย ซึ่งผลกระทบทางจิตใจเหล่านี้อาจส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตโดยรวมของผู้ที่เป็นโรคอ้วนได้
ผลกระทบทางจิตใจของโรคอ้วน
1. ภาวะซึมเศร้า (Depression)
- ผู้ที่เป็นโรคอ้วนมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับภาวะซึมเศร้ามากกว่าคนที่มีน้ำหนักปกติ เนื่องจากความรู้สึกไม่พึงพอใจในรูปร่างของตนเอง การถูกเลือกปฏิบัติทางสังคม และความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ
- นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน อาจส่งผลต่อสารสื่อประสาทในสมองที่ควบคุมอารมณ์ได
2.ความวิตกกังวล (Anxiety)
- ความกังวลเกี่ยวกับรูปร่าง การถูกตัดสินจากผู้อื่น และปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน สามารถนำไปสู่ความวิตกกังวลได้
- ความกังวลนี้อาจทำให้เกิดอาการทางกาย เช่น หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออก และนอนไม่หลับ
3. ความรู้สึกต่ำต้อย (Low Self-Esteem)
- การถูกล้อเลียน การถูกเลือกปฏิบัติ และความรู้สึกไม่พึงพอใจในรูปร่างของตนเอง สามารถทำให้เกิดความรู้สึกต่ำต้อยและขาดความมั่นใจในตนเองได้
4. การถูกตีตราทางสังคม (Social Stigma)
- สังคมมักมีทัศนคติเชิงลบต่อผู้ที่เป็นโรคอ้วน ทำให้พวกเขาอาจรู้สึกถูกโดดเดี่ยว ถูกตีตรา และถูกเลือกปฏิบัติ
- การถูกตีตราทางสังคมนี้อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางสังคม การทำงาน และคุณภาพชีวิตโดยรวม
5. ปัญหาด้านภาพลักษณ์ของตนเอง (Body Image Issues)
- โรคอ้วนสามารถทำให้เกิดความไม่พอใจในรูปร่างของตนเอง ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาด้านภาพลักษณ์ของตนเอง เช่น ความรู้สึกอับอาย ความรู้สึกผิด และความรู้สึกไม่น่าดึงดูด
6. ความผิดปกติในการรับประทานอาหาร (Eating Disorders)
- โรคอ้วนสามารถเชื่อมโยงกับความผิดปกติในการรับประทานอาหาร เช่น การกินมากเกินไป (Binge Eating Disorder) หรือการรับประทานอาหารเพื่อปลอบประโลมจิตใจ (Emotional Eating)
ความสัมพันธ์ระหว่างโรคอ้วนและสุขภาพจิต
- เป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและมีสองทิศทาง กล่าวคือ โรคอ้วนอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิต และปัญหาสุขภาพจิตก็อาจนำไปสู่โรคอ้วนได้เช่นกัน
- ตัวอย่างเช่น ภาวะซึมเศร้าอาจทำให้ผู้คนหันไปกินอาหารที่มีแคลอรี่สูงเพื่อปลอบประโลมจิตใจ ซึ่งนำไปสู่น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
- การที่ผู้ป่วยโรคอ้วนมีปัญหาสุขภาพจิตร่วมด้วยนั้น จะทำให้การรักษาโรคอ้วนเป็นไปได้ยากขึ้นไปอีก
การดูแลสุขภาพจิตสำหรับผู้ที่เป็นโรคอ้วน
- การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เช่น นักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์ สามารถช่วยจัดการกับปัญหาสุขภาพจิตที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนได้
- การเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน (Support Groups) สามารถช่วยให้ผู้ที่เป็นโรคอ้วนรู้สึกได้รับการสนับสนุนและเข้าใจจากผู้อื่น
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ สามารถช่วยปรับปรุงทั้งสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตใจได้
การลดน้ำหนัก หรือการควบคุมน้ำหนัก เพื่อสุขภาพและน้ำหนักที่พอดีแก่ร่างกายสามารถเริ่มทำได้จากการปรับพฤติกรรมทั้งด้านการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และการนอนหลับพักผ่อน ดังนี้
1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร:
- เน้นอาหารที่มีประโยชน์:
- เพิ่มปริมาณผักและผลไม้: ให้ได้หลากหลายสีสัน เพื่อรับวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น
- เลือกโปรตีนไม่ติดมัน: เช่น ปลา ไก่ไม่ติดหนัง เต้าหู้ ถั่ว
- บริโภคธัญพืชเต็มเมล็ด: เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีท
- เลือกไขมันดี: เช่น อะโวคาโด ถั่ว น้ำมันมะกอก
- ลดอาหารแปรรูปและน้ำตาล:
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง: เช่น น้ำอัดลม ขนมหวาน
- ลดอาหารแปรรูป: เช่น อาหารสำเร็จรูป อาหารทอด
- อ่านฉลากโภชนาการ: เพื่อควบคุมปริมาณแคลอรี่ น้ำตาล และไขมัน
- ควบคุมปริมาณอาหาร:
- รับประทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสม: ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
- ใช้จานขนาดเล็ก: เพื่อช่วยควบคุมปริมาณอาหาร
- เคี้ยวอาหารช้าๆ: เพื่อให้สมองรับรู้ความอิ่ม
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ:
- นักโภชนาการ: สามารถให้คำแนะนำในการวางแผนมื้ออาหารที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
2. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ:
- เลือกกิจกรรมที่ชอบ:
- เดินเร็ว: เป็นการออกกำลังกายที่ง่ายและปลอดภัย
- ว่ายน้ำ: ช่วยลดแรงกระแทกต่อข้อต่อ
- ปั่นจักรยาน: เป็นการออกกำลังกายที่สนุกและเพลิดเพลิน
- ออกกำลังกายแบบแอโรบิก: ช่วยเผาผลาญแคลอรี่และเสริมสร้างความแข็งแรงของหัวใจและปอด
- เริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป:
- เพิ่มระยะเวลาและความเข้มข้นของการออกกำลังกายทีละน้อย
- ตั้งเป้าหมายที่สามารถทำได้จริง
- ออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์:
- แบ่งออกเป็นครั้งละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์
3. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต:
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ:
- นอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
- การนอนหลับไม่เพียงพออาจส่งผลต่อการควบคุมความอยากอาหาร
- จัดการความเครียด:
- ฝึกการหายใจลึกๆ: เพื่อลดความเครียด
- ทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย: เช่น โยคะ นั่งสมาธิ
- หาเวลาพักผ่อน: เพื่อลดความเครียด
- เลิกสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์:
- การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม
4. การดูแลสุขภาพจิต:
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต:
- นักจิตวิทยา: สามารถให้คำแนะนำในการจัดการกับความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า
- เข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน:
- พบปะพูดคุยกับผู้ที่มีประสบการณ์คล้ายกัน
- สร้างความมั่นใจในตนเอง:
- ให้กำลังใจตนเอง: ชื่นชมความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ
- มุ่งเน้นที่ความก้าวหน้า: ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนตาชั่ง
5. การรักษาทางการแพทย์ (ในบางกรณี):
- ยา
- ยาบางชนิดสามารถช่วยลดความอยากอาหารหรือเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน
- ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
- การผ่าตัด
- การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร: เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่เป็นโรคอ้วนขั้นรุนแรง
- ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
สิ่งสำคัญที่ควรจำ
- การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต้องใช้เวลาและความอดทน
- ตั้งเป้าหมายที่สามารถทำได้จริงและค่อยๆ ปรับเปลี่ยน
- ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ: เพื่อขอคำแนะนำและการดูแลที่เหมาะสม
- การดูแลสุขภาพองค์รวมเป็นสิ่งสำคัญ การดูแลสุขภาพกายและใจไปพร้อมๆกันจะทำให้เกิดผลลัพท์ที่ดีที่สุด
การดูแลสุขภาพสำหรับผู้ที่เป็นโรคอ้วนเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง หากคุณหรือคนที่คุณรู้จักกำลังเผชิญกับโรคอ้วน โปรดอย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ
หากทำทุกวิถีทางแล้วยังไม่สามารถลดความอ้วนได้ ปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อหาสาเหตุและแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม เช่น การผ่าตัดกระเพาะในรูปแบบต่าง ๆ ที่นอกจากรักษาโรคอ้วนแล้วยังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ด้วย
สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านศรีนครินทร์ และพื้นที่ใกล้เคียง "คลินิกพรีเมียม รามาธิบดี เฮลธ์ สเปซ @พาราไดซ์ พาร์ค" (Ramathibodi Health Space) ที่ตั้งอยู่ภายในศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค ชั้น 3 เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สะดวกสบาย ในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายแพทย์ ได้ที่ รามาธิบดี เฮลธ์ สเปซ ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค เปิดให้บริการทุกวัน 8.00-20.00 น.
โทร. 0-2201-0640-45
Line Official Account : @ramaparadise
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ คลินิกพรีเมียม รามาธิบดี เฮลธ์ สเปซ @พาราไดซ์ พาร์ค คลิกที่นี่
หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลความรู้ ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ หากมีข้อสงสัย หรือต้องการคำแนะนำในการรักษา ควรปรึกษาแพทย์